บทความทั้งหมด

Sculptra

Sculptra คืออะไร? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?ราคาเท่าไหร่?

Categories
mesotherapy
Sculptra

Sculptra 

ในปีหลัง ๆ มานี้ เราจะเห็นว่ามีเทคโนโลยีการฟื้นฟูผิวแบบใหม่เข้ามาในไทยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างล่าสุดที่หมอเชื่อว่ามีหลายคนเฝ้ารอ โดยเฉพาะคนที่ต้องการมีผิวเด็กย้อนวัย นั่นก็คือ Sculptra ที่เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใบหน้า (Collagen Stimulator) จาก PLLA นั่นเองครับ

แล้ว Sculptra คืออะไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? Sculptra เหมาะกับใคร ? ฉีด Sculptra เห็นผล 100% ไหม ? กี่วันเห็นผล ? ราคาเท่าไหร่ เปรียบเทียบกับวิธีกระตุ้นคอลลาเจนแบบอื่น ข้อดี-ข้อเสีย ต่างกันอย่างไร ?

 ใครที่กำลังสนใจ และหาข้อมูลเกี่ยวกับ Sculptra ในบทความนี้หมอได้รวบรวมทุกข้อควรรู้ก่อนฉีดมาให้แล้วครับ  

เรื่องหน้า ผมไม่กล้าเสี่ยง คุณฟลุค เกริกพล ให้วี สแควร์ดูแลมาตลอด 5 ปี | มั่นใจไปกับ V Square Clinic

สารบัญ Sculptra 

  1. Sculptra คืออะไร ?
  2. Sculptra ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?
  3. Sculptra มีส่วนผสมของอะไรบ้าง ?
  4. Sculptra มีกระบวนการทำงานอย่างไร ?
  5. คอลลาเจนคืออะไร ? สำคัญกับผิวหน้าอย่างไร ?
  6. Sculptra ปลอดภัยไหม ?
  7. Sculptra ดีอย่างไร ?
  8. ฉีด Sculptra เห็นผล 100% ไหม ?
  9. Sculptra เหมาะกับใคร ?
  10. Sculptra ต่างจากหัตถการอื่น ๆ อย่างไร ? แบบไหนดีกว่า คุ้มกว่า ?
  11. ใช้ Sculptra ร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ไหม ?
  12. Sculptra มีขั้นตอนการฉีดอย่างไร ?
  13. ฉีด Sculptra ใช้เวลานานไหม ?
  14. Sculptra นิยมฉีดจุดไหน ใช้กี่ CC ?
  15. ตำแหน่งไหนที่ไม่ควรฉีด Sculptra เพราะอะไร ?
  16. Sculptra ราคาเท่าไหร่ ?
  17. Sculptra รีวิว
  18. วิธีการเตรียมตัวก่อนฉีด Sculptra
  19. วิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด Sculptra
  20. วิธีการนวดหน้าหลังฉีด Sculptra
  21. ฉีด Sculptra ที่ไหนดี ?
  22. ฉีด Sculptra กี่วันเห็นผล ?
  23. Sculptra ต้องฉีดกี่ครั้ง แต่ละครั้งห่างกันนานไหม ?
  24. ฉีด Sculptra อยู่ได้นานไหม ?
  25. Sculptra มีผลข้างเคียงไหม ?
  26. ข้อควรระวังในการทำ Sculptra
  27. ฉีด Sculptra เจ็บไหม ?
  28. Sculptra ของแท้ มีวิธีดูอย่างไร ?

Sculptra คืออะไร ?

Sculptra คืออะไร ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง เหมาะกับใคร ใช้กี่ CC l หมอ V Square แชร์หมดเปลือก

Sculptra คือ อนุภาคของกรด Poly-L-Lactic (PLLA) จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Biostimulator ซึ่งเป็นกรดโพลิแลคติกที่ร่างกายสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ สารนี้ถูกนำมาใช้ทางการแพทย์ตั้งแต่ปี 1999 มีงานวิจัยรองรับมากกว่า 50 ฉบับ ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาในประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) จึงมั่นใจได้ในความปลอดภัยครับ

Sculptra คืออะไร

จุดเด่นของ Sculptra คือ จะไปช่วยการกระตุ้นการผลิต Collagen Type I สูงถึง 66.5% ผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่เพียงแค่เป็นการเติมเต็มชั่วคราวเท่านั้น แต่ยังช่วยฟื้นฟูโครงสร้างของผิวจากภายใน นำไปสู่ผลลัพธ์ที่นานถึง 2 ปี ต่างจากสารเติมเต็มชนิดอื่น ๆ ที่ต้องฉีดซ้ำในช่วงระยะเวลาที่สั้นกว่าครับ


Sculptra ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

Sculptra ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
  • ช่วยฟื้นฟูผิวชั้นลึก : กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนภายในชั้นผิวหนัง เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ช่วยชะลอการหย่อนคล้อยของผิวในอนาคต
  • ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย : ช่วยให้ผิวหน้าดูยกกระชับ เต่งตึง ผิวมีความแน่นฟูขึ้น
  • ช่วยเติมเต็มร่องลึก : ช่วยเติมเต็มร่องลึกที่เกิดจากวัยหรือการขาดคอลลาเจน 
  • ช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ : ปรับสภาพผิวให้ดูเรียบเนียน ลดเลือนรอยเล็ก ๆ ทำให้ผิวดูสดใส
  • ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและกระจ่างใสขึ้น : ผิวได้รับการบำรุงอย่างล้ำลึก ช่วยให้ผิวดูชุ่มชื้น มีชีวิตชีวา ดูสุขภาพดี

Sculptra มีส่วนผสมของอะไรบ้าง ?

Sculptra 1 ขวด บรรจุมาด้วยการปราศจากเชื้อแบบ freeze-dried powder ในขวดแก้ว ซึ่งแต่ละขวดจะมีส่วนประกอบหลักที่มีบทบาทในการฟื้นฟูผิวหนังอย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ดังนี้

  • Poly-L-lactic acid (PLLA) – 150 mg : เป็นสารประกอบหลักใน Sculptra มีบทบาทในการกระตุ้น การผลิตคอลลาเจนใหม่ในผิวหนัง เป็นกรดโพลิเมอร์ที่ร่างกายสามารถย่อยสลายได้เอง จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือผลข้างเคียงระยะยาว เมื่อฉีดเข้าไปในผิวหนัง PLLA จะทำหน้าที่กระตุ้นให้ผิวหนังสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวหน้าดูเต่งตึง และอ่อนเยาว์
  • Sodium Carboxymethylcellulose – 90 mg : เป็นตัวทำละลายที่ช่วยให้สารประกอบหลักอย่าง Poly-L-lactic acid ละลายและเจือจางได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้ตัวยาจะกระจายตัวอย่างสม่ำเสมออยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เมื่อละลาย Sculptra กับ Sterile water แล้วจะได้สารละลายที่มีความคงตัวสูง พร้อมสำหรับการฉีดเข้าสู่ผิวหนัง
  • Mannitol – 127.5 mg : เป็นสารที่ช่วยรักษาความคงตัวของตัวยาในขณะที่ถูกบรรจุอยู่ในขวด ทำหน้าที่เป็นสารกันชื้นที่ช่วยป้องกันการสลายตัวของสารประกอบอื่น ๆ ภายในขวด และช่วยให้การบรรจุเป็นการบรรจุแบบสุญญากาศ ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยรักษาสภาพ และคุณภาพของสารประกอบ ทำให้ Sculptra สามารถเก็บรักษาได้นาน และมีประสิทธิภาพเมื่อใช้งาน

Sculptra มีกระบวนการทำงานอย่างไร ?

Sculptra มีกระบวนการทำงานอย่างไร
  • Sculptra จะถูกฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังลึก (Subcutaneous) ที่หย่อนคล้อยหรือมีริ้วรอย โดยกระจายไปตามจุดสำคัญที่ใช้ในการยกกระชับใบหน้าได้อย่างทั่วถึง
  • หลังจากฉีด Sculptra ทันที ผิวจะดูเต็มขึ้นเนื่องจากปริมาตรน้ำที่ฉีดเข้าไป และหลังฉีด 2-3 วัน น้ำและส่วนประกอบต่าง ๆ จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จะเหลือเพียงแค่อนุภาคของ Sculptra เท่านั้น
  • Sculptra จะทำงานผ่านระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยดึงเซลล์เม็ดเลือดขาวแมคโครฟาส (Macrophage) เข้ามาเหนี่ยวนำให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast)
  • เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่สร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ โดยเฉพาะคอลลาเจนชนิดที่ 1 (Collagen Type I) จะถูกผลิตมากขึ้นถึง 66.5% ทำให้โครงสร้างผิวมีความแข็งแรงและกระชับมากขึ้น
  • เมื่อเวลาผ่านไป อนุภาคของ Sculptra จะค่อย ๆ หายไป เหลือเพียงเส้นใยคอลลาเจนที่จะเข้ามาสะสมแทน ซึ่งมีส่วนช่วยสำคัญที่ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงในระยะยาว คงผลลัพธ์เรื่องการยกกระชับ และฟื้นฟูผิวได้ประมาณ 2 ปี หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล และการดูแลผิวหลังฉีด

คอลลาเจนคืออะไร ? สำคัญกับผิวหน้าอย่างไร ? 

คอลลาเจนคืออะไร ? สำคัญกับผิวหน้าอย่างไร

คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่พบมากที่สุดในร่างกายของมนุษย์ คิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย มีบทบาทสำคัญในการสร้างโครงสร้าง และให้ความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และการซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่าง ๆ ซึ่งคอลลาเจนไม่เพียงพบได้แต่ในผิวหนังเท่านั้น ยังรวมถึงกระดูก ข้อต่อ และเส้นเอ็น 

คอลลาเจนมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีลักษณะ และฟังก์ชันที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปแล้วคอลลาเจนสามารถแบ่งออกเป็น 5 ชนิดหลัก ๆ ดังนี้

  • คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Type I) : เป็นคอลลาเจนที่พบมากที่สุดในร่างกาย มีความแข็งแรงสูง พบได้ในผิวหนัง กระดูก และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอื่น ๆ ช่วยให้เนื้อเยื่อมีโครงสร้างที่แข็งแรง ในผิวหนังจะมีคอลลาเจนชนิดนี้เป็นจำนวนมาก ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น เรียบเนียนครับ
  • คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Type II) : พบมากในกระดูกอ่อน เช่น กระดูกอ่อนใบหู กระดูกซี่โครง หลอดลม และข้อต่อ มีความยืดหยุ่นสูง ช่วยในการรักษาความชื้นของกระดูกอ่อน ซึ่งสำคัญต่อการลดแรงกระแทก และช่วยให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
  • คอลลาเจนชนิดที่ 3 (Type III) : พบในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง เช่น ในหลอดเลือด ผิวหนัง และอวัยวะภายใน มีบทบาทในการรักษาโครงสร้าง และความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อ
  • คอลลาเจนชนิดที่ 4 (Type IV) : พบในเยื่อบุผิว (Basement membrane) ซึ่งเป็นชั้นของเยื่อที่ปกป้องเซลล์ในอวัยวะต่าง ๆ มีความเสถียรสูง ช่วยให้อวัยวะต่าง ๆ อยู่ในสถานะที่สมดุล
  • คอลลาเจนชนิดที่ 5 (Type V) : มีบทบาทในเนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น ผิวหนังและผนังหลอดเลือด ช่วยในการสร้างเยื่อบุ และสนับสนุนการเติบโตของเซลล์
คอลลาเจนคืออะไร ? สำคัญกับผิวหน้าอย่างไร

แต่ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น การผลิตคอลลาเจนจะลดลงตามไปด้วย จากการศึกษาพบว่าร่างกายจะสูญเสียคอลลาเจน 1.5% ต่อปีตั้งแต่อายุประมาณ 25 ปี และน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวหนังเริ่มมีริ้วรอย หย่อนคล้อย แห้งกร้าน ไม่กระชับอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ปัจจัยอื่น ๆ เช่น การสัมผัสแสงแดดมากเกินไป การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และทานอาหารที่ไม่เหมาะสม ก็สามารถเร่งการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนได้

วิธีเพิ่มคอลลาเจน

แล้วเราสามารถเพิ่มจำนวนคอลลาเจนได้จากที่ไหน การทา การทาน หรือการฉีด ? 

การเสริมคอลลาเจนสามารถทำได้หลายวิธีครับ วิธีพื้นฐานที่ได้รับความนิยม เช่น ใช้ครีมบำรุงผิวที่มีวิตามินซี เรตินอยด์ หรือกรดไฮยาลูโรนิค, รับประทานอาหารที่มีประโยชน์, การทาครีมกันแดด, ทานอาหารเสริม, หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถช่วยรักษาให้คอลลเจนในผิวเสื่อมช้าลง แต่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ และใช้ระยะเวลานานครับ

แต่ปัจจุบันได้มีนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน Sculptra เพื่อให้ร่างกายเกิดการสร้างคอลลาเจนได้มากขึ้น โดยเฉพาะคอลลาเจน Type I สูงถึง 66.5% ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่ผิวของเราต้องการมากที่สุด เป็นส่วนประกอบหลักของโครงสร้างผิวหนัง ทำให้ผิวมีความแข็งแรง กระชับในระยะยาวครับ


Sculptra ปลอดภัยไหม ?

Sculptra ปลอดภัยไหม คุณต่าย โดยหมอแพน

Poly-L-lactic acid ที่เป็นส่วนประกอบหลักใน Sculptra เป็นกรดโพลิแลคติกที่ร่างกายสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ซึ่งหมายความว่ามีความเสี่ยงน้อยที่จะเกิดปฏิกิริยาแพ้หรือการอักเสบครับ และ Sculptra ได้ถูกนำมาใช้ทางการแพทย์ตั้งแต่ปี 1999 มีงานวิจัยรองรับกว่า 50 ฉบับ ผ่านการรับรองจากองค์การอาหาร และยาในประเทศสหรัฐอเมริกา  (US FDA) จึงมั่นใจได้ในความปลอดภัยครับ


Sculptra ดีอย่างไร ?

Sculptra ดีอย่างไร
  • สามารถกระตุ้นการผลิต Collagen Type I สูงถึง 66.5% ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่ผิวของเราต้องการมากที่สุด
  • ร่างกายสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ปลอดภัย ผ่านการรับรองจากองค์การอาหาร และยาในประเทศสหรัฐอเมริกา  (US FDA) มีงานวิจัยรองรับกว่า 50 ฉบับ
  • หลังฉีดไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  • นอกจากจะช่วยลดริ้วรอยและร่องลึกแล้ว Sculptra ยังช่วยในการฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ทำให้ผิวหน้าดูมีสุขภาพดี และคงความเต่งตึงอย่างเป็นธรรมชาติ
  • สามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง เช่น ขมับ หน้าแก้ม (Midface) กรอบหน้า รวมถึงลำคอ หลังมือ
  • เมื่อคอลลาเจนใหม่ถูกสร้างขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง และดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ ยืดหยุ่น และเต่งตึงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
  • สามารถให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานถึง 2 ปี ทำให้ Sculptra เป็นหัตถการที่งานผิวอันดับต้น ๆ ที่หลายคนให้ความสนใจ

ฉีด Sculptra เห็นผล 100% ไหม ?

การฉีด Sculptra ให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะเห็นผล 100% สำหรับทุกคนครับ แม้ว่า Sculptra จะเป็นที่รู้จักกันดีในด้านการสร้างคอลลาเจน และฟื้นฟูสภาพผิว แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ได้ เช่น 

  • สภาพผิวเดิมของคนไข้ : ผู้ที่มีริ้วรอย ร่องลึก หรือผิวหย่อนคล้อยมาก อาจไม่เห็นผลชัดเจนเท่าที่ควรหลังการฉีดครั้งแรก เนื่องจากผิวอาจสูญเสียความยืดหยุ่นไปมาก ทำให้ต้องการการสร้างคอลลาเจนใหม่ในปริมาณมากเพื่อเติมเต็ม และฟื้นฟูโครงสร้างผิว อาจต้องเพิ่มความถี่ในการฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
  • ความถี่และปริมาณการฉีด : การฉีดที่ไม่เพียงพอ หรือเว้นระยะเวลาห่างกันมากเกินไป อาจส่งผลให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
  • การดูแลตัวเองหลังการฉีด : ไม่ดูแลตามคำแนะนำ เช่น การนวดบริเวณที่ฉีดหลังการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ อาจส่งผลให้การกระจายตัวของสารไม่ทั่วถึง ทำให้ผลลัพธ์ไม่เท่าเทียมกัน
  • ประสบการณ์และความชำนาญของแพทย์ : แพทย์ที่มีประสบการณ์จะมีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างและการทำงานของผิว สามารถประเมิน และเลือกบริเวณที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการฉีด ทำให้การฉีด Sculptra มีผลลัพธ์ที่ดี และคงทน

การเข้าใจ และพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ก่อนการตัดสินใจฉีด Sculptra จะช่วยให้คนไข้มีความคาดหวัง และเตรียมตัวได้อย่างเหมาะสมเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ


Sculptra เหมาะกับใคร ?

Sculptra เหมาะกับใคร
  • ผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ต้องการฟื้นฟูผิวจากโครงสร้างผิวภายใน ให้มีความแข็งแรงมากขึ้น
  • ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ กรอบหน้าไม่ชัด 
  • ผู้ที่ผิวขาดความยืดหยุ่น ย้วย ไม่เฟิร์ม ต้องการเพิ่มความแน่นฟูของผิว
  • ผู้ที่มีริ้วรอยที่เห็นได้ชัด เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก 
  • ผู้ที่อยากมีผิวหน้าอ่อนเยาว์ ชะลอการเกิดริ้วรอยที่เกิดจากการแก่ของผิว  มีหน้าเด้ง กระชับ
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนาน ความสะดวก และความคุ้มค่าในระยะยาว

Sculptra ต่างจากหัตถการอื่น ๆ อย่างไร ? แบบไหนดีกว่า คุ้มกว่า ?

Sculptra เป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ใช้สาร Poly-L-lactic acid (PLLA) ซึ่งเป็นกรดชนิดที่ย่อยสลายได้ ฉีดเพื่อให้ร่างกายเกิดการผลิตคอลลาเจนมากขึ้น เน้นฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ช่วยให้ผิวแข็งแรง ดูแน่น เต่งตึง กระชับขึ้น ผิวเด็กอย่างยั่งยืน 

แล้ว Sculptra ต่างจากหัตถการอื่น ๆ อย่างไร ? หมอจะมาอธิบายแบบสั้น ๆ กระชับ เพื่อให้คนไข้เข้าใจว่า sculptra คืออะไรกันให้มากขึ้นครับ

Sculptra กับ ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิค แอซิด ( Hyaluronic Acid ) เมื่อฉีดเข้าไปผิวจะมี Volume หรือเพิ่มปริมาตรของผิวในบริเวณนั้นโดยตรง และจะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ ตามระยะเวลา 6-24 เดือน โดยไม่ได้เหนี่ยวนำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ เหมาะกับคนที่มีอายุ 20ปีขึ้นไป เริ่มมีริ้วรอย หน้าหย่อนคล้อย

ส่วน Sculptra จะเป็นกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไป และยั่งยืนกว่า เพราะตัวยาจะไปออกฤทธิ์ไปเรียกเม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า Macrophage (แมคโครฟาจ) เข้ามาเหนี่ยวนำให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ที่ชื่อว่า Fibroblast (ไฟโบรบลาสต์) ทำให้เกิดคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ครับ

Sculptra กับ เมโสหน้าใส

เมโสหน้าใสเป็นการฉีดสารอาหารผิว เช่น vitamin A B C E, Transamin, Glutathione  และสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ  ลงไปใต้ผิวหนัง ช่วยในการฟื้นฟูผิว ให้ผิวหน้าใสขึ้น ลดจุดด่างดำ และปรับสภาพผิว เหมาะกับคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ผลลัพธ์อยู่ได้ชั่วคราวและต้องทำซ้ำเป็นระยะ ปัจจุบันมีหลายสูตรครับ เช่น มาเด้ คอลลาเจน, Filorga / Revs, Alpha arbutin, Tensonez และ Neo-Glutanex Glow

ขณะที่ Sculptra ให้ความแตกต่างตรงที่ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายในผ่านการกระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดริ้วรอย และยกกระชับผิวอย่างมีนัยสำคัญ 

Sculptra กับ เครื่องมือยกกระชับ

เครื่องมือยกกระชับเช่น Hifu Ultraformer III, Ulthera (คลื่นอัลตราซาวด์ความถี่สูง) และ Thermage (คลื่นวิทยุ) จะเป็นการใช้คลื่นเสียงในการช่วยยกกระชับผิวและลดริ้วรอย โดยคลื่นเสียงนี้จะไปกระตุ้นคอลลาเจน ข้อดีคือไม่มีแผล เหมาะกับคนที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป กลัวเข็ม กลัวการผ่าตัด เริ่มเห็นผลชัดเจนใน 3 เดือนขึ้นไป

ส่วน Sculptra จะเป็นการเสริมความแข็งแรงให้กับผิวจากภายใน ผิวหนังที่เสื่อมสภาพได้รับการซ่อมแซม มีการฟื้นฟูตัวเองจากภายใน ช่องว่างที่ทำให้ผิวเกิดรอยพับหรือริ้วรอยถูกเติมเต็ม ทำให้ได้ผิวที่ดูเรียบเนียน เต่งตึงขึ้น เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่อยู่ได้นาน

Sculptra กับ Rejuran

Rejuran เป็นการใช้ Polyneucleotide (PN) ซึ่งเป็นสารที่มาจาก DNA ของปลาแซลมอน ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูอิ่มน้ำ ผิวฟู ดูฉ่ำวาว ผิวกระจก (glass skin) แก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 3-6 เดือน ต่างจาก Sculptra ที่กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง ให้ผลลัพธ์ยาวนานและเน้นเรื่องการยกกระชับผิว

Sculptra กับ Gouri

Gouri จะใช้สาร PCL (Polycaprolactone) นำมาฉีดเข้าสู่ชั้นผิว เป็นนวัตกรรมกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวที่เน้นฟื้นฟู และแก้ไขผิวที่เสื่อมสภาพตามวัยให้มีคุณภาพดีขึ้น ผิวอิ่มน้ำ รูขุมขนเล็กลง ริ้วรอยเล็ก ๆ ดูจางลง มีความแน่นฟู กระชับ และเรียบเนียน แต่ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานไม่เท่า Sculptra โดยอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

Sculptra กับ Exosome

Exosome เป็นหนึ่งในกลุ่ม Skin Booster ที่ประกอบด้วยสารชีวโมเลกุลมากกว่า 1,000 ชนิด รวมถึงโปรตีน, กรดนิวคลีอิก, ลิพิด เน้นการฟื้นฟูเซลล์ผิว ให้ผิวกลับมาแข็งแรงจากภายใน แก้ปัญหาสิว ลดอาการอักเสบของผิว และผิวที่แพ้ง่าย พร้อมทั้งช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น ยืดหยุ่น กระชับ และเรียบเนียน ส่วน Sculptra จะเน้นการบำรุงในผิวชั้นลึก ช่วยให้ผิวแน่นกระชับ ไม่ย้วย และใบหน้าดูอิ่มฟูยกกระชับขึ้นครับ

เมื่อดูจากความแตกต่างแล้ว สรุปได้ว่า Sculptra จะมีจุดเด่นในการช่วยยกกระชับผิวและให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน เป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องทำซ้ำบ่อยครั้ง ทำให้มีความคุ้มค่าในระยะยาว เมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ ที่อาจต้องฉีดซ้ำที่บ่อยกว่า Sculptra จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนาน เน้นฟื้นฟูผิวจากภายในสู่ภายนอกครับ


ใช้ Sculptra ร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ไหม ?

Sculptra เป็นหัตถการที่ยืดหยุ่นสูงและสามารถใช้ร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เพื่อเพิ่มผลลัพธ์ในการฟื้นฟูคุณภาพผิว และโครงสร้างใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ แต่ต้องเว้นระยะเวลาให้เหมาะสม หากคนไข้มีหัตถการอื่นที่ต้องทำ ควรงด 2-4 อาทิตย์ ก่อนฉีด Sculptra เพื่อเป็นการเตรียมผิวให้พร้อม หรือฉีด Sculptra ไปแล้ว 4-6 สัปดาห์ ถึงจะทำหัตถการอื่นในตำแหน่งเดียวกันได้ครับ 

 ต่อไปนี้คือข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ Sculptra ร่วมกับหัตถการต่าง ๆ

  • ฟิลเลอร์ : Sculptra สามารถใช้ร่วมกับฟิลเลอร์ได้ โดย Sculptra จะช่วยเพิ่มคอลลาเจน และฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ในขณะที่ฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มร่องลึกและปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนทันที การใช้ร่วมกันจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุม และเห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น
  • เมโสหน้าใส : เมโสหน้าใสสามารถใช้ร่วมกับ Sculptra เพื่อเพิ่มการฟื้นฟูผิว โดย Sculptra จะช่วยในเรื่องโครงสร้างผิวและความเต่งตึง ในขณะที่เมโสหน้าใสจะช่วยในเรื่องความชุ่มชื้น และความกระจ่างใส
  • เครื่องยกกระชับผิว : เครื่องยกกระชับผิวจะช่วยยกกระชับผิวในชั้นผิวหนังที่ลึกขึ้น การใช้เครื่องยกกระชับร่วมกับ Sculptra สามารถเสริมสร้างผลลัพธ์ในการยกกระชับผิวได้อย่างดียิ่งขึ้น โดย Sculptra ช่วยเสริมคอลลาเจนจากภายใน
  • Rejuran : Rejuran ทำหน้าที่ซ่อมแซม และช่วยผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ ฉ่ำวาวเร่งด่วน รูขุมขนกระชับ การใช้ร่วมกับ Sculptra จะช่วยให้ผิวแข็งแรง และมีสุขภาพดีขึ้น
  • Exosome: Exosome มีบทบาทในการซ่อมแซม แก้ไขหลายปัญหาผิว เช่น ริ้วรอย รูขุมขนกว้าง รอยสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ การใช้ร่วมกับ Sculptra จะเพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงจากภายใน

การใช้ Sculptra ร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินความเหมาะสมของสภาพผิว และความต้องการของแต่ละบุคคล ทั้งนี้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และปลอดภัยครับ


Sculptra มีขั้นตอนการฉีดอย่างไร ?

ขั้นตอนฉีด Sculptra คุณฟลุค โดยหมอเพลิน
  • การตรวจประเมินสภาพผิวและรับคำปรึกษา : ก่อนเริ่มการฉีด Sculptra คนไข้จะได้รับการตรวจประเมินสภาพผิว และโครงสร้างใบหน้าจากแพทย์ เพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหา และความกังวลที่มี รวมถึงรับทราบข้อปฏิบัติก่อน และหลังการฉีด เช่น คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลผิวหลังการฉีด และข้อห้ามที่ควรปฏิบัติ
  • การใช้ยาชา : ก่อนการฉีด จะมีการแปะยาชาบนบริเวณที่จะฉีดเพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวด โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 45 นาทีในการทิ้งยาชา
  • การเตรียม Sculptra : ในขณะที่รอยาชาออกฤทธิ์ แพทย์จะทำการผสม Sculptra กับน้ำกลั่นปราศจากเชื้อเพื่อเตรียมสารให้เข้าสู่รูปแบบ Active form ที่พร้อมใช้งาน
  • การฉีด Sculptra : Sculptra ที่ผสมแล้วจะถูกฉีดลงใต้ชั้นผิวหนังประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร ด้วยเข็มทู่ขนาด 22-25 G ซึ่งช่วยให้สารกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ และมีประสิทธิภาพ
  • การนวดบริเวณที่ฉีด : หลังจากฉีด Sculptra เสร็จสิ้น แพทย์จะทำการนวดบริเวณที่ฉีดเบา ๆ เพื่อช่วยให้สารกระจายตัวได้ดีขึ้น และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในบริเวณนั้น ๆ การนวดช่วยให้ยาเกาะตัวเป็นเนื้อเดียวกับโครงสร้างของผิวหนัง ช่วยให้ผลลัพธ์ที่ได้เป็นธรรมชาติมากขึ้น และคงทนยาวนาน

ฉีด Sculptra ใช้เวลานานไหม ?

การฉีด Sculptra เป็นหัตถการที่ค่อนข้างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานครับ โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ทั้งนี้ระยะเวลาในการฉีดอาจแตกต่างกันไปตามปัจจัยหลายอย่าง เช่น ปัญหา และสภาพผิวของคนไข้ ตำแหน่งที่ต้องการฉีด และปริมาณของสารที่ใช้ในการฉีด 


Sculptra นิยมฉีดจุดไหน ใช้กี่ CC ?

Sculptra นิยมฉีดจุดไหน ใช้กี่ CC

Sculptra เป็นสารกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนที่ใช้เพื่อฟื้นฟู และปรับปรุงโครงสร้างผิวหนัง ซึ่งนิยมใช้ในบริเวณต่าง ๆ ของใบหน้า โดยเฉพาะจุดที่มีการเสื่อมโทรมจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นจนเห็นเป็นร่องลึกได้ชัด เช่น 

  • ขมับ (Temporal area)
  • หน้าแก้ม (Midface) 
  • กรอบหน้า
  • ลำคอ 
  • หลังมือ

สำหรับปริมาณการฉีดต่อเคส จากผลการวิจัย และการทดลองจากกลุ่มตัวอย่างแล้ว ความพอดีของการใช้พบว่าโดยเฉลี่ยจะใช้ Sculptra 1 ขวด (10cc) /ช่วงอายุคนไข้ 10 ปีครับ เช่น คนไข้อายุ 30 ปี ก็ใช้ 3 ขวด (30 cc) ซึ่งแต่ละ Session ควรฉีดห่างกัน 4-6 สัปดาห์ (แนะนำให้ฉีด 2-3 Session)

แพทย์จะเป็นผู้ประเมินปริมาณยาที่ใช้ในการฉีดแต่ละครั้ง และต้องกลับมาติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินการตอบสนองการกระตุ้นคอลลาเจนของร่างกายครับ


ตำแหน่งไหนที่ไม่ควรฉีด Sculptra เพราะอะไร ?

ขั้นตอนฉีด Sculptra คุณฟลุค โดยหมอเพลิน

การฉีด Sculptra ไม่แนะนำให้ทำบริเวณ T-zone ได้แก่ หน้าผาก, รอบดวงตา, จมูก, ปาก รวมถึงบริเวณรอบปาก (Hyperdy,amic Area) ที่มีการขยับบ่อย ๆ เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก เนื่องจากหลายปัจจัยดังต่อไปนี้

  • โครงสร้างและความหนาของผิว : ผิวหนังบริเวณ T-zone จะมีลักษณะที่แตกต่างจากบริเวณอื่น ๆ โดยเฉพาะที่จมูก และหน้าผาก ซึ่งมักมีผิวหนังที่บาง และมีต่อมไขมันมากกว่า 

    การฉีด Sculptra ที่บริเวณเหล่านี้ อาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ เนื่องจาก Sculptra ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในบริเวณที่ผิวหนังหย่อนคล้อยหรือมีร่องลึก

  • ความเสี่ยงของผลข้างเคียง : บริเวณ T-zone เป็นพื้นที่ที่มีต่อมไขมันมาก และอาจมีความไวต่อการอักเสบหรือการติดเชื้อมากกว่าบริเวณอื่น ๆ การฉีด Sculptra อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น การอักเสบหรือการสร้างก้อนแข็งใต้ผิวหนังตามมาได้
  • ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ : Sculptra มีประสิทธิภาพสูงในการฟื้นฟูบริเวณที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยและร่องลึก เช่น หน้าแก้ม ขมับ และลำคอ แต่บริเวณ T-zone มักมีปัญหาเกี่ยวกับรูขุมขน และความมันมากกว่าที่จะเป็นร่องลึกจากการสูญเสียคอลลาเจน

Sculptra ราคาเท่าไหร่ ?

Sculptra ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 20,xxx.- / ขวด (10cc) ครับ อาจแตกต่างกันไปตามประสบการณ์ของแพทย์ รวมถึงโปรโมชั่นหรือแพ็กเกจของแต่ละคลินิก หากคนไข้พบ Sculptra ราคาต่ำกว่าปกติ ขวดละไม่กี่พัน ในกรณีนี้ควรตรวจสอบ และพิจารณาอย่างรอบคอบครับ เพราะอาจเป็นของปลอม หรือเป็น Sculptra ราคาถูกที่หิ้วมาขายให้กับหมอเถื่อนที่รับฉีดตามบ้าน ตามคอนโด 

โปรโมชั่น Sculptra ราคา ที่ V Square Clinic

Sculptra ราคา

Sculptra ราคา 29,000.-/ 10 cc (1 ขวด)

  • เลือกรับฟรี REVS (NCFS) 1 ครั้ง มูลค่า 6,000.- 
  • หรือเลือกรับ Lipo VSQ 6 cc มูลค่า 6,000.-

Sculptra ราคา 58,000.- / 20cc (2 ขวด)

  • เลือกรับฟรี REVS (NCFS) 2 ครั้ง มูลค่า 12,000.- 
  • หรือเลือกรับ Rejuran 2 cc มูลค่า 9,900.-

Sculptra ราคา 75,000.- / 30cc (3 ขวด)

  • เลือกรับฟรี REVS (NCFS) 3 ครั้ง มูลค่า 18,000.- 
  • หรือเลือกรับ NEAUVIA 1 Syring / 2.5 CC มูลค่า 16,000.-

Sculptra ราคา 100,000.- / 40cc (4 ขวด)

  • เลือกรับฟรี REVS (NCFS) 1ครั้ง +  NEAUVIA 1 Syring  มูลค่ารวมกว่า 22,000.-
  • หรือเลือกรับ Rejuran 4 cc มูลค่า 19,800.-

Sculptra รีวิว

Sculptra รีวิวหลังทำ 1 เดือน
Sculptra รีวิวหลังทำ 1 เดือน
Sculptra รีวิวหลังทำ 25 เดือน
Sculptra รีวิวก่อน-หลังทำ 25 เดือน
Sculptra รีวิวหลังทำ
Sculptra รีวิวก่อน-หลังทำ 4 ครั้ง
Sculptra รีวิวหลังทำ
Sculptra รีวิวก่อน-หลังทำ 4 ครั้ง

วิธีการเตรียมตัวก่อนฉีด Sculptra

  • งดยาหรือวิตามินที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก เช่น กลุ่มยาแอสไพริน วิตามินอี น้ำมันปลา ฯลฯ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการฉีด เพื่อป้องกันอาการฟกช้ำที่อาจเกิดขึ้นได้
  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1-3 วัน ก่อนการฉีด 
  • ไม่อยู่ในภาวะการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • หากมีโรคประจำตัวหรือรับประทานยาใด ๆ อยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด Sculptra

วิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด Sculptra 

  • การดูแลหลังทำ sculptra
  • งดทำเลเซอร์ที่มีความร้อนสูง 1 เดือน
  • งดแต่งหน้า 24 ชั่วโมง
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง
  • งดซาวน่า 1-2 สัปดาห์ 
  • งดออกกำลังกายหักโหม 2-3 วัน  

หลังฉีด  Sculptra อาจมีอาการบวมจากรอยเข็ม และจากตัวยาซึ่งจะถูกดูดซึมภายใน 2-3 วัน สามารถประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม และเว้นการฉีดสารอื่น ๆ หลังจากฉีด Sculptra นอกจากนี้ ควรนวดเพื่อให้ตัวยาดูดซึมกระจายเข้าสู่ผิวให้ได้มากที่สุด


วิธีการนวดหน้าหลังฉีด Sculptra 

วิธีการนวดหน้าหลังฉีด Sculptra

หลังฉีดคนไข้ควรนวดตามหลัก  Triple 5 (5 วัน 5 ครั้ง 5 นาที) แนะนำให้นวดหลังฉีดทันที โดยนวดลงน้ำหนักมือเป็น vector ตามแนวกล้ามเนื้อ และบริเวณที่ฉีด โดยสเต็ปการนวดมี 4 ท่า

  • Step ที่ 1 ใช้นิ้วโป้งของเรานวดขมับทั้ง 2 ข้างแล้วใช้กำปั้นค่อย ๆ นวดเลื่อนจากหน้าผากไปขมับ 
  • Step ที่ 2 ยกนิ้วโป้งขึ้น แนบไปตรงหน้าแก้ม ทั้งสองข้าง แล้วเลื่อนจากหน้าแก้มไปข้าง ๆ แก้ม 
  • Step  ที่ 3 ใช้อุ้งมือกดช่วงข้าง ๆ แก้ม แล้วค่อย ๆ นวดไล่จากล่างขึ้นบนไปถึงตรงโหนกแก้ม 
  • Step ที่ 4 ท่าสุดท้าย ทำมือคล้าย ๆ  กับท่าที่สอง ยกนิ้วโป้งขึ้น เริ่มจากที่คางไล่ไปตามแนวกรามกรอบหน้าด้านข้าง

ฉีด Sculptra ที่ไหนดี ?

  • เลือกคลินิกที่แพทย์มีประสบการณ์สูงในการฉีด Sculptra และมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ สามารถประเมินปัญหาผิวหน้าได้อย่างแม่นยำ และตรงจุด ซึ่งจะช่วยให้ผลลัพธ์จากการฉีดมีประสิทธิภาพสูง
  • เลือกคลินิกที่มีสภาพแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัย และได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์การอาหารและยา (อย.) หรือสภาแพทย์ 
  • รีวิวจากผู้ที่เคยรับการฉีด Sculptra ที่คลินิกนั้น ๆ เพื่อประเมินความพึงพอใจ และผลลัพธ์ที่ ควรหาข้อมูลจากแหล่งที่เป็นกลาง และน่าเชื่อถือ
  • คลินิกที่ดีควรให้คำปรึกษาก่อนการรักษาอย่างละเอียด รวมถึงอธิบายขั้นตอนการฉีด ผลลัพธ์ที่คาดหวัง และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้คนไข้เข้าใจขั้นตอน และมีความพร้อมสำหรับการฉีด
  • ราคาการฉีด Sculptra ควรสอดคล้องกับคุณภาพ และมาตรฐาน ไม่ควรสูงเกินไป

ฉีด Sculptra กี่วันเห็นผล ?

  • หลังฉีด Sculptra ทันที : ผิวจะดูเต็มขึ้นเนื่องจากปริมาตรน้ำที่ฉีดเข้าไป และหลังฉีด 2-3 วัน น้ำและส่วนประกอบต่าง ๆ จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จะเหลือเพียงแค่อนุภาคของ Sculptra เท่านั้น
  • หลังฉีด Sculptra 5 วันแรก : ในช่วงนี้จะเริ่มมีกระบวนการเพิ่มการผลิตคอลลาเจน แต่อาจยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน  คนไข้อาจสังเกตเห็นบวมเล็กน้อยหรือความรู้สึกตึงที่บริเวณที่ฉีด
  • หลังฉีด Sculptra 2-3 สัปดาห์ : ผิวจะเริ่มแสดงการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก ผิวดูแน่นขึ้น และมีความเรียบเนียนมากขึ้น ในช่วงนี้ Sculptra จะเริ่มกระตุ้นให้เกิดการผลิตคอลลาเจนอย่างเต็มที่
  • หลังจากนั้น : ผลลัพธ์จาก Sculptra จะค่อย ๆ ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นในช่วงหลายเดือนถัดไป โดยปกติจะเห็นผลลัพธ์สูงสุดหลังจากฉีดประมาณ 4-6 เดือน และผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานถึง 2-3 ปี

การฉีด Sculptra เป็นหัตถการที่ต้องใช้เวลาในการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เนื่องจากมันขึ้นอยู่กับกระบวนการธรรมชาติของร่างกายในการผลิตคอลลาเจนใหม่ครับ ดังนั้นควรมีความอดทน และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อการฟื้นฟูผิวที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน


Sculptra ต้องฉีดกี่ครั้ง แต่ละครั้งห่างกันนานไหม ?

การฉีด Sculptra ต้องฉีดกี่ครั้ง ? ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาที่ต้องการแก้ไขของคนไข้แต่ละบุคคลครับ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการวางแผน และประเมินจากแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสม และอยู่ได้นาน

สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวไม่มาก

  • จำนวนครั้ง และความถี่ : แนะนำให้ฉีด Sculptra 3 ครั้ง โดยมีระยะห่างระหว่างการฉีดแต่ละครั้งประมาณ 1 เดือน
  • ปริมาณการฉีด : ฉีดครั้งละ 1 ขวด (10cc) ในแต่ละครั้ง

สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวมากหรืออายุ 30 ปีขึ้นไป

  • ปริมาณการฉีด : แนะนำให้นำอายุมาหาร 10 จะได้ปริมาณขวดที่ควรใช้ และฉีดครั้งละ 1-2 ขวด เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน และคงทนยิ่งขึ้น
  • การฉีดซ้ำ : อาจต้องฉีดต่อเนื่องกันหลายครั้งตามคำแนะนำของแพทย์ เช่นเดียวกับกรณีที่มีปัญหาผิวไม่มาก โดยมีระยะห่างประมาณ 1 เดือนระหว่างแต่ละครั้ง

การฉีด Sculptra ควรได้รับการดูแล และติดตามผลโดยแพทย์ เพื่อประเมินผลลัพธ์ และการตอบสนองของร่างกาย ตลอดจนให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลหลังการฉีดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และยาวนานที่สุดครับ


ฉีด Sculptra อยู่ได้นานไหม ?

  • ฉีดต่อเนื่อง 2-3 ครั้งในช่วงแรก : การฉีด Sculptra อย่างต่อเนื่องในช่วงแรก ถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งครับ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน และยาวนาน แนะนำให้ฉีด 2-3 ครั้ง ซึ่งสามารถคงทนได้นานถึง 2 ปี
  • ฉีดครั้งเดียวโดยไม่ฉีดซ้ำ : หากฉีดเพียงครั้งเดียว และไม่ฉีดซ้ำ ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ค่อยชัดเจนครับ โดยจะอยู่ได้นานประมาณ 2-4 เดือน จากนั้นผิวจะเริ่มสูญเสียความเต่งตึงที่ได้รับจากการฉีดครั้งแรกเนื่องจากไม่มีการกระตุ้นใหม่ของการผลิตคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง

Sculptra มีผลข้างเคียงไหม ?

หลังฉีด Sculptra อาจมีผลข้างเคียงได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลข้างเคียงชั่วคราว และจะค่อยๆ หายไปเอง เช่น

  • อาการบวมและปวด : บริเวณที่ได้รับการฉีดอาจมีอาการบวมหรือปวด เป็นผลข้างเคียงทั่วไปที่เกิดขึ้นได้ จะค่อยๆ ลดลง และหายไปภายใน 2-3 วัน
  • รอยแดง : อาจมีรอยแดงปรากฏขึ้นบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการที่เกิดจากการตอบสนองของเข็ม และการฉีดสารเข้าไปในผิวหนัง จะค่อย ๆ จางหายไปเอง
  • ก้อนเล็ก ๆ ใต้ผิวหนัง : ในบางรายอาจคลำพบก้อนเล็ก ๆ ใต้ผิวหนังในช่วงแรกหลังการฉีด ซึ่งเป็นผลจากตัวยายังไม่ได้กระจายตัวอย่างทั่วถึง แพทย์จึงมักแนะนำให้คนไข้นวดบริเวณที่ฉีด เพื่อช่วยให้ Sculptra กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ จากนั้นก้อนเล็ก ๆ ใต้ผิวจะค่อย ๆ หายไปเอง

ข้อควรระวังในการทำ Sculptra

ข้อห้ามในการฉีด Sculptra

  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้สาร Poly-L-lactic acid
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับการอักเสบหรือการติดเชื้อที่ผิวหนัง
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคระบบภูมิคุ้มกัน หรือทานยากดภูมิคุ้มกัน
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่เคยเกิดหรือไวต่อการเกิดคีลอยด์หรือแผลนูน

ฉีด Sculptra เจ็บไหม ?

การฉีด Sculptra คนไข้จะรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้นครับ เนื่องจากเข็มที่ใช้ฉีดมีขนาดเล็กมาก โดยจะมีขนาด 22-25 G ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กพอที่จะทำให้การฉีดมีความแม่นยำ และลดความรู้สึกไม่สบายจากเข็มและก่อนทำจะมีการแปะยาชา ช่วยลดความเจ็บขณะฉีดได้ครับ 


Sculptra ของแท้ มีวิธีดูอย่างไร ?

วิธีดู Sculptra ของแท้
  • มีสติกเกอร์โมโนแกรมพร้อมชื่อแบรนด์อยู่บนกล่อง โดยจะต้องไม่มีรอยฉีกขาด ไม่ผ่านการใช้งานมาก่อน 
  • มีสัญลักษณ์ลายน้ำ S นูนหน้ากล่อง ซึ่งสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เมื่อสัมผัสแล้วจะรู้สึกว่าตัวอักษรมีความนูนได้ชัดเจน
  • มีเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับภาษาไทยติดอยู่ข้างกล่อง โดยจะต้องมีการระบุเลขล็อต วัน/เดือน/ปีที่ผลิต ที่ตรงกับฉลากหน้ากล่อง
  • ลักษณะขวดสุญญากาศด้านในเป็น PLLA Powder ไม่มีของเหลวผสม และฝาขวดด้านบนจะมีลักษณะเป็นจุกยาง ต้องไม่มีรอยแกะ รอยขาด หรือรอยเจาะที่บ่งบอกถึงการใช้งานมาก่อน
  • สแกน QR Code ผ่านแอป eZTRacker เพื่อตรวจสอบได้ เมื่อสแกนแล้วระบบจะขึ้นข้อมูลของสินค้า ทั้งหมายเลขสินค้า วันผลิต และวันหมดอายุ ซึ่งจะต้องตรงกันกับเอกสารข้างกล่อง

สรุป

Sculptra เป็นหัตถการที่ช่วยลดริ้วรอย เติมเต็ม และยกกระชับใบหน้าที่สามารถคาดหวังผลได้ เรียกได้ว่าเป็นหัตถการทางเลือกแทนการผ่าตัดเสริมความงามเลยก็ว่าได้ครับ เพราะสิ่งที่ต่างกันออกไปคือ Sculptra สามารถช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ฟื้นฟูโครงสร้างผิวหนังจากภายใน จากงานวิจัยพบว่า sculptra สามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 2 ปี คนไข้ที่ฉีดพึงพอใจครับ ในขณะที่การผ่าตัดช่วยให้หน้าดูกระชับขึ้นเท่านั้น 

โดยรวมแล้ว Sculptra เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด มีผิวเด็กอย่างยั่งยืน แต่ควรฉีดตามคำแนะนำของแพทย์ ทำในคลินิกที่ได้มาตรฐานและใช้ตัวยาของแท้เท่านั้นครับ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตรงตามความต้องการครับ ที่ V Square Clinic สามารถปรึกษาหมอได้ทางออนไลน์ฟรี ก่อนนัดคิวเข้ามาใช้บริการครับ


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ

หมอให้คำปรึกษา_หมอ29คน
เมโสแฟตราคา คุณนิโคล

เมโสแฟต ราคาเท่าไหร่ ? แต่ละตำแหน่งราคาเท่ากันไหม ราคาแพง-ถูกดูอย่างไร ?

Categories
mesofat
เมโสแฟตราคา คุณนิโคล

ฉีดเมโสแฟตราคาเท่าไหร่ ? ฉีดแฟตราคาแพงไหม ? ราคาฉีดแฟตในแต่ละตำแหน่งเป็นอย่างไร ? สำหรับคนที่สนใจฉีดเมโสแฟตสลายไขมัน ลดแก้ม ลดเหนียง ลดต้นแขน ลดไขมันหน้าท้อง กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับราคาฉีดแฟต ในบทความนี้หมอจะมาคลายทุกข้อสงสัย และแนะนำโปรโมชันเมโสแฟต ราคาพิเศษ อัปเดตปี 2024 ฉีดเมโสแฟตอย่างไรให้ได้ผลลัพธ์ดีและคุ้มค่า สามารถติดตามอ่านได้ครับ   

สารบัญ เมโสแฟตราคา

  1. เมโสแฟต ราคาเท่าไร ?
  2. เมโสแฟต ราคาแพงไหม ดูอย่างไร ?
  3. เมโสแฟต ราคาแต่ละตำแหน่งเป็นอย่างไร ?
  4. เมโสแฟต ราคาโปรโมชั่น

เมโสแฟต ราคาเท่าไร ?

การฉีดเมโสแฟตราคาจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้ ตำแหน่งและปริมาณที่ฉีด โดยทั่วไปราคาจะเริ่มต้นที่ 2,000 บาทครับ 

ก่อนฉีดหมอจะเป็นผู้ประเมินว่าคนไข้เหมาะกับเมโสแฟตยี่ห้อ/สูตรไหน ใช้กี่ CC รวมทั้งสอบถามปัญหาที่คนไข้กังวล และให้คำแนะนำเกี่ยวกับเมโสแฟตที่เหมาะกับคนไข้มากที่สุด เพื่อผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่า และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด    


เมโสแฟต ราคาแพงไหม ดูอย่างไร ?

ฉีดเมโสแฟต เป็นหัตถการที่ราคาไม่แพงมากหากเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ mesofatราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 2,000 บาท หลังฉีดเห็นผลไว ไขมันจะสลายตัวทันทีประมาณ 10-15% เริ่มเห็นผลมากขึ้นในช่วง 5-7 วัน และเห็นผลชัดเจนใน 2-3 สัปดาห์ หากผลลัพธ์ที่ได้ยังรู้สึกไม่พึงพอใจ คนไข้ก็สามารถกลับมาฉีดเพิ่มได้อีก

ในกรณีที่พบการฉีดfatราคาถูกมาก ๆ จนผิดสังเกต ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าตัวยาที่ใช้อาจไม่ใช่เมโสแฟต หรือไม่มีคุณภาพ เป็นตัวยาผสมน้ำเกลือ จนตัวยาเจือจางมาก ทำให้ฉีดแล้วไม่เห็นผล ไม่คุ้มค่าครับ หมอแนะนำว่าควรเลือกฉีดเมโสแฟตกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ตัวยาแท้ มากกว่าดูเพียงราคาที่ถูกหรือแพง เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีครับ

เมโสแฟตราคาแพงไหม

เมโสแฟต ราคาแต่ละตำแหน่งเป็นอย่างไร ?

ราคาการฉีดเมโสแฟตแต่ละตำแหน่ง จะขึ้นอยู่กับยี่ห้อ/สูตร และปริมาณที่ใช้ ซึ่งในแต่ละเคสจะใช้ปริมาณและจำนวนครั้งต่างกัน หมอจะประเมินปริมาณตัวยาที่แนะนำให้ฉีดในแต่ละครั้งตามความเหมาะสมของแต่ละเคสครับ สำหรับคนไข้ที่อยากทราบราคาฉีดแฟตแต่ละตำแหน่งในเบื้องต้น หมอรวบรวมไว้ให้ดังนี้ครับ

ฉีดแฟตแก้มราคาเท่าไร ?

การฉีดแฟตแก้ม ปริมาณการใช้ตัวยาโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่  6 CC, 12 CC จนถึง 18 CC หรือราคาเหมาขวด เมโสแฟต 1 ขวด มี 10 CC ที่ V Square Clinic  ราคาจะอยู่ที่ 2,000-6,500.-/ครั้ง  ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและจำนวน CC ที่ใช้

ฉีดแฟตลดเหนียงราคาเท่าไร ? 

ราคาการฉีดเมโสแฟตเหนียง หรือตำแหน่งอื่น ๆ ไม่ต่างกันครับ ขึ้นอยู่ปริมาณตัวยา ในคนที่มีไขมันมาก ฉีดแฟตหน้าเรียวราคาคุ้มค่า สามารถฉีดได้ 2 ขวดต่อครั้ง (20 CC ) หมอแนะนำว่าไม่ควรฉีดครั้งละมาก ๆ ควรค่อย ๆ ฉีด และดูผลลัพธ์ต่อครั้งครับ   

ฉีดแฟตแขนราคาเท่าไร ?

ฉีดเมโสแฟตต้นแขนราคาเริ่มต้นที่ 5,000.- ต่อการทำ 1 ข้าง จะใช้ตัวยาข้างละ 20-40 CC โดยปริมาณที่ใช้ หมอจะแนะนำเป็นรายเคส เพราะไขมันของแต่ละคนไม่เท่ากันครับ 

ฉีดสลายไขมันหน้าท้องราคาเท่าไร ?

เมโสแฟตหน้าท้อง ใช้ตัวยา 40-80 CC ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมัน โดยคิดพื้นที่ 1 ฝ่ามือ เท่ากับเมโสแฟต 20 CC ราคาเริ่มต้นที่ 5,000.-/ครั้ง 


เมโสแฟต ราคาโปรโมชั่น

ที่ V Square Clinic การฉีดเมโสแฟตจะเลือกใช้เฉพาะตัวยาที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพ ประเมินและวิเคราะห์ปัญหาของคนไข้โดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ฉีดด้วยเทคนิคเฉพาะที่ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ลดอาการบวมช้ำหลังฉีด ในส่วนของราคา V Square Clinic มีโปรโมชันทั้งราคาเมโสแฟตหน้า และเมโสแฟตตัว คนไข้สามารถเลือกทำเป็นรายครั้งหรือคอร์สได้ ดังนี้ 

โปรเมโสแฟต
โปรเมโสแฟตพรีเมียม
โปรเมโสแฟตตัว

โปรโมชั่น เมโสแฟต เมโสแฟตพรีเมียม ราคาพิเศษ
สำหรับผู้ติดตาม Line@ และมีสติ๊กเกอร์ “น้อง ดักกี้ V Square”

เมโสแฟต สูตร Phytobella

  • 6 CC ราคา 2,000.- (5 ครั้งเหลือเพียง 9,000.-)
  • 12 CC ราคา 3,500.- (5 ครั้งเหลือเพียง 15,000.-)
  • 18 CC ราคา 5,000.- (5 ครั้งเหลือเพียง 20,000.-)
  • เหมาขวด 10 CC ราคา 3,200.-

เมโสแฟต สูตรเร่งไว 2 ยี่ห้อ คือ FNC / BABI

  • 6 CC ราคา 2,500.-

เมโสแฟต สูตร Babi Neo One

  • 6 CC (5 ครั้งเหลือเพียง 9,900.-)
  • 12 CC ราคา 4,500.- (5 ครั้งเหลือเพียง 18,000.-)
  • 18 CC ราคา 6,500.- (5 ครั้งเหลือเพียง 25,000.-)
  • เหมาขวด 10 CC ราคา 4,000.-

เมโสแฟตตัว สูตร Neobella

  • 20 CC ราคา 5,000.-
  • 40 CC ราคา 9,000.-
  • 100 CC ราคา 20,000.-
  • 120 CC ราคา 24,000.-

เมโสแฟตตัว สูตร FNC / BABI

  • 30 CC ราคา 9,900.-
  • 60 CC ราคา 18,000.-
  • 90 CC ราคา 25,000.-

สรุป

เมโสแฟตราคาไม่แพงครับ ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีด และยี่ห้อของเมโสแฟตที่ใช้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหัตถการในการช่วยสลายไขมันที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ ฉีดแล้วเห็นผลไว ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น ทั้งนี้คนไข้ควรเลือกฉีดด้วยตัวยาแท้กับแพทย์ที่มีประสบการณ์ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่า ปลอดภัย


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ

หมอให้คำปรึกษา_หมอ29คน
เมโสแฟตยี่ห้อไหนดี

ฉีดเมโสแฟตยี่ห้อไหนดี แต่ละยี่ห้อต่างกันอย่างไร ใช้อย่างไรให้เหมาะสม

Categories
mesofat
เมโสแฟตยี่ห้อไหนดี

เมโสแฟต คือ การฉีดตัวยาที่มีคุณสมบัติช่วยสลายไขมันสะสม โดยทำให้ไขมันแตกตัวและถูกปล่อยออกมาตามกลไกการขับของเสียตามธรรมชาติของร่างกาย เป็นการลดไขมันเฉพาะจุดที่เห็นผลลัพธ์เร็ว ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องดูดไขมัน

ปัจจุบันเมโสแฟตมีหลากหลายยี่ห้อครับ ทำให้หลายคนเกิดคำถามว่า ฉีดแฟตสลายไขมันยี่ห้อไหนดี หมอจึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเมโสแฟตแต่ละยี่ห้อ และจะมาตอบทุกข้อสงสัยว่า แฟตเหนียงยี่ห้อไหนดี ? แฟตแก้มยี่ห้อไหนดี ? เมโสแฟตหน้าท้องยี่ห้อไหนดี ? แต่ละยี่ห้อต่างกันอย่างไร ราคาเท่าไหร่ ? เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสม สามารถติดตามอ่านได้ในบทความนี้ครับ

สารบัญ เมโสแฟตยี่ห้อไหนดี

  1. เมโสแฟตยี่ห้อไหนดี
  2. แต่ละตำแหน่งเลือกฉีดเมโสแฟตยี่ห้อไหนดี ?
  3. ฉีดเมโสแฟตยี่ห้อไหนดีที่เหมาะกับตัวเรา
  4. เมโสแฟต ราคาเท่าไหร่ ?
[ล่าสุด 2024] แฟต (Fat) ยี่ห้อไหนดี แต่ละยี่ห้อต่างกันอย่างไร ?

เมโสแฟตยี่ห้อไหนดี ?

เมโสแฟต ในท้องตลาดมีหลากหลายยี่ห้อครับ โดยแต่ละยี่ห้อมีส่วนประกอบและกระบวนการทำงานของตัวยาที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกัน หากเลือกไม่ได้ว่าจะฉีดเมโสแฟตยี่ห้อไหนดี หมอมีข้อมูลและจุดเด่นของแต่ละแบรนด์มาแนะนำ เพื่อประกอบการตัดสินใจของคนไข้ ดังนี้

เมโสแฟตยี่ห้อ Phytobella

เมโสแฟตยี่ห้อ Phytobella

เมโสแฟตยี่ห้อ Phytobella เป็นผลิตภัณฑ์จากประเทศเกาหลี ตัวยามีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ ได้แก่ Juglans Seed extract (สารสกัดจาก black walnut), Aesculus Hippocastanum extract, Ophiopogon Japonicus root extract, Betula Alba leaf extract, Centella Asiatica extract และ Cynara Scolymus extract มีส่วนช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์ coenzyme ในกระบวนการ anabolism ลดเนื้อเยื่อไขมัน ลดการสังเคราะห์กรดไขมัน

ข้อดี : ฉีดแล้วยุบดี ไม่บวมแดง ไม่ทำให้ผิวหย่อนคล้อย

ข้อควรระวัง : ขณะฉีดจะรู้สึกแสบเล็กน้อย

ราคา : ครั้งละ 6 CC 2,000 บาท

เมโสแฟตยี่ห้อ BABI Neo One

เมโสแฟตยี่ห้อ Babi Neo One

เมโสแฟตยี่ห้อ BABI Neo One เป็นผลิตภัณฑ์จากประเทศเกาหลี ประกอบด้วยสารสกัดจากธรรมชาติหลายชนิด เช่น Centella Asiatica extract, Scutellaria baicalensis root extract, Chamomilla recutita flower extract มีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดอาการบวม ช่วยให้ผิวดูกระชับขึ้น Pentylene glycon ช่วยให้เซลล์มีการกักเก็บน้ำ ผิวชุ่มชื้นและตึงกระชับ Lecithin และ Bromelain ช่วยในเรื่องการเผาผลาญไขมันและคลอเรสเตอรอลในเลือด โดยละลายไขมันให้แตกตัวเพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ ทำให้ไขมันลดลง และผิวดูยกกระชับขึ้นได้ครับ

ข้อดี : ช่วยสลายไขมันพร้อมยกกระชับ ฉีดแล้วยุบดี หลังฉีดไม่มีอาการบวมแดง

ข้อควรระวัง : ขณะฉีดมีอาการแสบ (แต่จะแสบน้อยที่สุดในบรรดายี่ห้อเมโสแฟตทั้งหมด)

ราคา : ครั้งละ 6 CC 2,500 บาท

เมโสแฟตยี่ห้อ FNC 30

เมโสแฟตยี่ห้อ FNC 30

เมโสแฟตยี่ห้อ FNC 30 มีส่วนผสมหลักของ FNC30 จะเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น Aescules Hippocatanum (Horse chestnut) seed extract ที่มีคุณสมบัติช่วยในการป้องกัน Elastin และ Hyaluron ในชั้นผิวไม่ให้เสื่อมสภาพ ช่วยลดบวม ลดไขมัน และมี Fucus Vesiculosus extract ซึ่งเป็นสารสกัดสาหร่ายสีน้ำตาล ช่วยการสลายไขมันในเซลล์ กระตุ้นกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย ทำให้ช่วยลลดไขมันได้ดี และเห็นผลไว โดยที่ไม่ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยหลังไขมันลดครับ

ข้อดี : ยุบดีและไว เหมาะสำหรับคนที่มีแก้มเยอะ

ข้อควรระวัง : ขณะฉีดจะรู้สึกแสบกลาง ๆ

ราคา : ครั้งละ 6 CC 2,500 บาท

เมโสแฟตยี่ห้อ Neobella

เมโสแฟตยี่ห้อ Neobella

เมโสแฟตยี่ห้อ Neobella เป็นเมโสแฟตอีกหนึ่งยี่ห้อที่นำเข้าจากประเทศเกาหลี ส่วนผสมหลักของตัวยาเป็น Deoxycholic acid (DCA) ซึ่งเป็นยาในกลุ่มยาสลายไขมันตัวเดียวที่ได้รับการรับรองจาก US-FDA ใช้หลักการทำลายเซลล์ไขมันแบบ Adipocyte-Cytolysis คือสลายเซลล์ไขมันได้โดยตรง ในขณะที่ตัวยาอื่น ๆ ใช้หลักการดึงไขมันออกจากเซลล์

ข้อดี : สลายเซลล์ไขมันได้โดยตรง เหมาะกับการลดไขมันบริเวณลำตัว หน้าท้อง แขน ขา

ข้อควรระวัง : ขณะฉีดจะรู้สึกแสบกลาง ๆ

ราคา : ครั้งละ 20 CC 5,000 บาท


แต่ละตำแหน่งเลือกฉีดเมโสแฟตยี่ห้อไหนดี ?

ปัจจุบันเมโสแฟตมีหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งแต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างกัน สามารถฉีดได้หลายตำแหน่งที่ต่างกัน ก่อนทำแพทย์จะประเมินปัญหา และแนะนำแฟตรุ่นที่เหมาะสมกับแต่ละคน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ

เมโสแฟตยี่ห้อ Phytobella เหมาะฉีดจุดไหน ?

เมโสแฟตยี่ห้อ Phytobella สามารถใช้ฉีดเพื่อสลายไขมันได้หลายส่วนของร่างกาย เช่น เหนียงใต้คาง แก้ม ต้นแขน ต้นขา สะโพกและน่อง ช่วยในการยกกระชับผิว ลดอาการบวมน้ำ

เมโสแฟตยี่ห้อ BABI Neo One เหมาะฉีดจุดไหน ?

เมโสแฟตยี่ห้อ BABI Neo One จะโดดเด่นในเรื่องของการสลายไขมันพร้อมยกกระชับ เหมาะสำหรับคนไข้ที่มีปัญหาแก้มหย่อน หลังฉีดจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงใน 3 วัน นิยมใช้ในการฉีดลดเหนียง

เมโสแฟตยี่ห้อ FNC 30 เหมาะฉีดจุดไหน ?

เมโสแฟตยี่ห้อ FNC 30 เหมาะกับคนแก้มเยอะ ด้วยกลไกสลายไขมันด้วย Special Peptides ใน FNC 30 สามารถช่วยกกระชับหน้า ปรับสมดุลต่อมน้ำเหลือง สลายไขมันทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเกิดการยุบตัว ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการลดไขมันบริเวณแก้มครับ  

เมโสแฟตยี่ห้อ Neobella เหมาะฉีดจุดไหน ?

เมโสแฟตยี่ห้อ Neobella เหมาะสำหรับบริเวณที่มีการสะสมของไขมันจำนวนมาก นิยมฉีดบริเวณหน้าท้อง ต้นแขน และต้นขาครับ


ฉีดเมโสแฟตยี่ห้อไหนดีที่เหมาะกับตัวเรา

ฉีดแฟตยี่ห้อไหนดี ขึ้นอยู่กับปัญหาและความของต้องการของคนไข้ หมอแนะนำให้เลือกเมโสแฟตที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับปัญหาที่เรามี เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นที่พึงพอใจที่สุดครับ 

ยกตัวอย่างเช่นเคสรีวิวฉีดแฟตแก้มยี่ห้อไหนดี เคสนี้คนไข้กังวลในเรื่องของไขมันแก้มเยอะ อยากสลายไขมันและต้องการให้แก้มดูยกกระชับขึ้น หมอจึงประเมินและแนะนำให้ฉีดเมโสแฟต ยี่ห้อ BABI เนื่องจากเป็นยี่ห้อที่มีจุดเด่นในเรื่องการสลายไขมันไปพร้อม ๆ กับการยกกระชับ 

ฉีดfatยี่ห้อไหนดี

หลังทำอย่างต่อเนื่องจะเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนว่า ไขมันที่แก้มลดลง หน้าเรียววีเชฟขึ้น สามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดและตรงตามต้องการของคนไข้ครับ 


เมโสแฟต ราคาเท่าไหร่ ?

เมโสแฟต ราคาจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อและปริมาณที่ฉีด สำหรับที่ V Square Clinic มีเมโสแฟตหลายยี่ห้อให้เลือกใช้ สามารถเลือกทำเป็นรายครั้งหรือเป็นคอร์สได้ครับ หมอแนะนำโปรโมชันเมโสแฟต ดังนี้

โปรเมโสแฟต
โปรเมโสแฟตพรีเมียม
โปรเมโสแฟตตัว

เมโสแฟต สูตร Phytobella

  • 6 CC ราคา 2,000.- (5 ครั้งเหลือเพียง 9,000.-)
  • 12 CC ราคา 3,500.- (5 ครั้งเหลือเพียง 15,000.-)
  • 18 CC ราคา 5,000.- (5 ครั้งเหลือเพียง 20,000.-)
  • เหมาขวด 10 CC ราคา 3,200.-

เมโสแฟต สูตรเร่งไว 2 ยี่ห้อ คือ FNC / BABI

  • 6 CC ราคา 2,500.-

เมโสแฟต สูตร Babi Neo One

  • 6 CC (5 ครั้งเหลือเพียง 9,900.-)
  • 12 CC ราคา 4,500.- (5 ครั้งเหลือเพียง 18,000.-)
  • 18 CC ราคา 6,500.- (5 ครั้งเหลือเพียง 25,000.-)
  • เหมาขวด 10 CC ราคา 4,000.-

เมโสแฟตตัว สูตร Neobella

  • 20 CC ราคา 5,000.-
  • 40 CC ราคา 9,000.-
  • 100 CC ราคา 20,000.-
  • 120 CC ราคา 24,000.-

เมโสแฟตตัว สูตร FNC / BABI

  • 30 CC ราคา 9,900.-
  • 60 CC ราคา 18,000.-
  • 90 CC ราคา 25,000.-

สรุป

เมโสแฟตยี่ห้อไหนดี ควรพิจารณาจากปัญหาและความต้องการของเราเป็นหลัก เพราะแต่ละยี่ห้อก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ดังนั้นไม่มีเมโสแฟตยี่ห้อไหนดีสุด มีแต่เมโสแฟตที่เหมาะกับเรามากที่สุด และอีกข้อสำคัญก่อนฉีดคือควรดูยี่ห้อของยาที่ฉีด ว่าคือยี่ห้ออะไร ผ่าน อย. หรือไม่ เพื่อป้องกันปัญหาจากตัวยาที่มีส่วนผสมที่อันตรายครับ

สำหรับคนที่อยากฉีดแฟต แต่ยังเลือกไม่ได้ว่าจะ ฉีด mesofatยี่ห้อไหนดี เข้าปรึกษาหมอก่อนได้ครับ ที่ V Square Clinic มีตัวยาหลากหลายยี่ห้อให้เลือกใช้ แพทย์มีประสบการณ์ด้านการปรับรูปหน้า สามารถประเมินปัญหาและแนะนำยี่ห้อเมโสแฟตที่เหมาะสมกับแต่ละคน มั่นใจได้ในผลลัพธ์และความปลอดภัยครับ 


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ

หมอให้คำปรึกษา_หมอ29คน
เมโสแฟตขา370X277

เมโสแฟตขา ฉีดสลายไขมันต้นขา ลดขาใหญ่ ไม่ต้องออกกำลังกาย?

Categories
mesofat
เมโสแฟตขา1000X860

เมโสแฟตขา

ใครที่มีปัญหาขาใหญ่ ต้นขาโต อยากปรับขาเรียว “การฉีดเมโสแฟตขา” เป็นอีกหนึ่งทางเลือกครับ เมโสแฟตช่วยลดไขมันที่ขาหรือต้นขาได้อย่างไร ? เห็นผลเร็วไหม ? เหมาะกับใครบ้าง ? หมอมีข้อมูลเหล่านี้มาแนะนำครับ พร้อมสาระดี ๆ ที่ควรรู้ 

ใครที่กังวลฉีดสลายไขมันต้นขาจะเสี่ยงอันตรายไหม ? ทำแล้วจะคุ้มค่าหรือไม่ ? อยากรู้ค่าใช้จ่าย ฉีดเมโสแฟตขาราคาแพงไหม ? รวมถึงอยากเห็นตัวอย่างเมโสแฟตขารีวิว เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ บทความนี้มีให้ศึกษาทั้งหมดครับ 

สารบัญ เมโสแฟตขา

  1. เมโสแฟตขา คืออะไร ? 
  2. ฉีดสลายไขมันต้นขาได้ผลจริงไหม ?
  3. เมโสแฟตขาเทียบกับการลดขาวิธีอื่นเป็นอย่างไร ?
  4. ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดแฟตขามีอะไรบ้าง ?
  5. ฉีดเมโสแฟตขามีผลข้างเคียงไหม อันตรายหรือไม่ ?
  6. ฉีดสลายไขมันต้นขามีขั้นตอนการทำอย่างไร ?
  7. ฉีดสลายไขมันต้นขาเจ็บไหม บวมกี่วัน ?
  8. ใครที่ควรทำและไม่ควรทำเมโสแฟตขา
  9. การดูแลตัวเองก่อนและหลังมาฉีดสลายไขมันต้นขา
  10. ก่อนมาฉีดสลายไขมันต้นขาควรเตรียมตัวอย่างไร ?
  11. หลังฉีดสลายไขมันต้นขาควรดูแลตัวเองอย่างไร ?
  12. หลังฉีดสลายไขมันต้นขามีข้อห้ามอะไรบ้าง ?
  13. ฉีดเมโสแฟตขาที่ไหนดี ?
  14. ฉีดเมโสแฟตขา ใช้ยี่ห้อไหนดี กี่ CC ?
  15. ฉีดสลายไขมันต้นขา ราคาเท่าไร
  16. ฉีดสลายไขมันต้นขา ฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล ?
  17. ฉีดสลายไขมันต้นขา อยู่ได้กี่เดือน ?
  18. รีวิว ฉีดเมโสแฟตขา

เมโสแฟตขา คืออะไร ? 

เมโสแฟตต้นขา ( Meso Fat-Legs) คือ การฉีดตัวยาเมโสแฟตไปที่บริเวณขา ต้นขา เพื่อกำจัดไขมันส่วนเกิน เร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมให้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อลดปริมาณไขมัน ทำให้ขา และต้นขาเล็กลงได้โดยที่ไม่ต้องออกกำลังกาย

ฉีดเมโสแฟตต้นขา

สำหรับตัวยาเมโสแฟต ในแต่ละแบรนด์มักจะประกอบด้วย สารออกฤทธิ์ที่ช่วยกระตุ้นการสลายไขมัน เช่น 

  • Artichoke extract (Cynara scolymus) ทำหน้าที่กระตุ้นการสังเคราะห์ Coenzyme ในกระบวนการ anabolism ลดเนื้อเยื่อไขมัน ลดการสังเคราะห์กรดไขมัน เหมาะกับคนที่น้ำหนักตัวเกิน ต้องการลดไขมันเฉพาะจุด ต้องการลดเซลลูไลท์
  • Mesostabyl (Polyunsaturated phosphatidylcholine) ทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ lipase, ลดการสร้าง triglyceride ยับยั้งการสร้าง cholessterol ในเนื้อเยื่อ
  • L-carnitine ทำให้ร่างกายดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้น เปลี่ยนไขมันเป็นพลังงาน(fat burn)
  • Theophylline ช่วยเพิ่มการย่อยสลาย triglyceride
  • Tyrosine เพิ่ม fat metabolism ทำให้ไขมันแตกตัวเล็กลง และถูกขับออก
  • Aesculus hippocastanum (horse chestnut) ลดการบวมน้ำ
  • Juglans regia (Walnut) เพิ่มการไหลเวียนของเลือด เพิ่มการเผาผลาญ ลดอาการบวมน้ำ
  • Nicotiana tabacum กระตุ้น catecholamine ทำให้เกิด lipolysis

ตัวยาเหล่านี้มีความปลอดภัยเนื่องจากเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ อาทิ ถั่วเหลือง ไข่แดง และวิตามินต่าง ๆ 

ฉีดเมโสแฟต (Meso Fat) คืออะไร ? ช่วยอะไร ? ฉีดจุดไหนได้บ้าง ? 

ฉีดสลายไขมันต้นขาได้ผลจริงไหม ?

การฉีดสลายไขมันต้นขา จะช่วยลดไขมันและลดเซลลูไลท์บริเวณต้นขาลงได้ มาก-น้อย-เร็ว-ช้า ขึ้นอยู่กับกับกลไกร่างกายของแต่ละบุคคลด้วยครับ 

หลังจากฉีดตัวยาเมโสแฟตลดต้นขา ตัวยาจะออกฤทธิ์กระตุ้นระบบการทำงานของ metabolism ซึ่งเป็นกลไกการเร่งการสลายไขมันตามธรรมชาติของร่างกาย จากนั้นไขมันจำนวนหนึ่งจะเริ่มแตกตัวหรือสลายตัว และถูกขับออกจากร่างกาย ผ่านทางระบบขับถ่าย เช่น ปะปนออกมากับเหงื่อ ปัสสาวะและอุจจาระ และไขมันอีกส่วนหนึ่งจะถูกดึงมาเปลี่ยนเป็นพลังงาน จึงทำให้ต้นขาหรือน่องเล็กและเรียวขึ้นได้ 

ฉีดลดไขมันต้นขา(1)

เพื่อผลลัพธ์ที่ดี ชัดเจน ควรฉีดสลายไขมันควรควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เช่น การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกายสม่ำเสมอร่วมด้วยครับ 


เมโสแฟตขาเทียบกับการลดขาวิธีอื่นเป็นอย่างไร ?

หากอยากให้ขาเรียว ต้นขาเล็ก หมดปัญหาด้านในต้นขาไม่เบียด วิธีการลดแบบยั่งยืนและปลอดภัยมากที่สุด คือ การออกกำลังกายและปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลา และต้องมีวินัยในตัวเอง แต่ถ้าใครอยากเห็นผลเร็ว ก็สามารถใช้วิธีฉีดลดต้นขาด้วยเมโสแฟต หรือหัตถการแพทย์อื่น ๆ ร่วมด้วยได้ 

  •  ฉีดแฟตลดต้นขา

การฉีดเมโสแฟตลดต้นขา จะช่วยสลายไขมันเฉพาะจุดบริเวณต้นขา น่อง ทำให้สัดส่วนเล็กลง โดยหลังฉีดไขมันจะเริ่มสลายตัว ประมาณ 10-15% หลังทำจะมีอาการบวมจากปริมาณยา แต่จะหายใน 3-4 ชั่วโมงครับ

ฉีดลดไขมันต้นขา

เหมาะกับคนที่มีไขมันสะสมบริเวณต้นขาไม่มาก เพราะหากมีไขมันสะสมเยอะ อาจะต้องฉีด 4-5 ครั้ง จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนครับ โดยผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน 2-3 เดือน

  • โบท็อกลด ขา น่อง 

หากต้องการลดขนาดต้นขา ขา น่อง เบื้องต้นต้องดูด้วยว่าจุดที่ต้องการลดเป็นไขมันหรือกล้ามเนื้อ หากต้นขาใหญ่ น่องใหญ่จากไขมัน แนะนำฉีดสลายไขมันด้วยเมโสแฟตครับ แต่หากประเมินแล้ว น่องโต ขาโตเพราะกล้ามเนื้อ แนะนำให้ใช้โบท็อกเพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อลงครับ หรือ สามารถใช้ได้ทั้งโบท็อกและเมโสแฟตได้ครับ ขึ้นอยู่กับลักษณะปัญหาของคนไข้ 

โบท็อกลดน่อง ลดต้นขา
  • CoolSculpting สลายไขมันด้วยความเย็น ลดต้นขา ปรับรูปร่าง 

การทำ CoolSculpting ต้นขา เพื่อปรับรูปร่าง กำจัดไขมันส่วนเกินอย่างถาวร เป็นวิธีที่หมอแนะนำครับ เพราะมีความปลอดภัยสูง เห็นผลเร็ว และชัดเจน 

CoolSculpting เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ออกแบบมาเพื่อกำจัดไขมันส่วนเกินโดยเฉพาะ ได้รับความนิยมมากในหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย เป็นวิธีกำจัดไขมันโดยปล่อยความเย็นติดลบ (-11°C) และแช่แข็งก้อนไขมันที่ถูกดูดขึ้นมา เมื่อเซลล์ไขมันได้รับความเย็นจัด จะหยุดทำงานและตายลงไปอย่างถาวร ต้นขาเล็กลง กระชับขึ้น (ใช้เวลาประมาณ 35 นาที) 

CoolSculpting สลายไขมันด้วยความเย็น ลดต้นขา

หลังทำ CoolSculpting ไขมันจะถูกกำจัดออก โดยสามารถลดเซลล์ไขมันลงได้ 20-30% ต่อการทำ 1 ครั้ง ในช่วง 3-4 สัปดาห์ หลังทำจะเห็นว่าสัดส่วนต้นขาเล็กลง และกระชับขึ้นครับ หากต้องการเห็นผลมากขึ้น ก็สามารถกลับมาทำในจุดเดิมได้ครับ

ตัวอย่างรีวิวลดต้นขาด้วย CoolSculpting

ลดต้นขาด้วย CoolSculpting
  • การดูดไขมันต้นขา 

การดูดไขมันต้น (Legs liposuction) คือ การกำจัดไขมันส่วนเกินบริเวณรอบต้นขาด้วยการดูดไขมัน ช่วยให้ต้นขาเล็กและเรียวได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาขาใหญ่ ขาเบียดเสียดสีมาก ๆ ต้องการลดไขมันเร็ว ๆ ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวการมีรอยแผล และมีเวลาพักฟื้น 

ดูดไขมันลดต้นขา

ปัจจุบันการดูดไขมันต้นขาในหลาย ๆ คลินิกจะ มี 2 แบบให้เลือกคือ

1.ดูดไขมันต้นขาด้วยเครื่องดูดไขมันพลังงานน้ำ

2.ดูดไขมันต้นขาด้วยเครื่องดูดไขมันพลังความร้อน 

ทั้ง 2 แบบมีวิธีการคล้าย ๆ คือต้องเปิดแผลเพื่อดูดไขมัน (ขนาดแผล 3-4 มิลลิเมตร เปิดกี่ตำแหน่งขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันของแต่ละบุคคล) 

Legs liposuction

ในขั้นตอนการทำจะมีการใช้ยาชา และการวางยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์ เป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้นก่อนทำวิธีนี้ต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ต้องมั่นว่าแพทย์ชำนาญมากพอ และตลอดการทำมีวิสัญญีแพทย์ดูแล คลินิกมีความพร้อมด้านความปลอดภัยทุกด้าน และหลังการดูดไขมัน จะมีรอยแผล รอยเขียวช้ำ และปวดระบมต้นขา จำเป็นต้องพักฟื้นอย่างน้อยประมาณ 5-7 วัน ครับ        

แล้วจะเลือกวิธีไหนถึงจะคุ้มค่า เห็นผล ? 

  • ไขมันเยอะ อยากเห็นผลเร็ว ๆ ถาวร แบบไม่ต้องเจ็บตัว หรือมีแผลพักฟื้น แนะนำทำ CoolSculpting 
  • ไขมันน้อย มีงบจำกัดแนะนำฉีดเมโสแฟตขา

 ส่วนใครไขมันเยอะมาก ๆ ไม่กลัวการผ่าตัดก็สามารถดูดไขมันได้ครับ (งบประมาณค่าใช้จ่ายในการทำหัตถการต่อครั้ง จากน้อยไปมาก เมโสแฟต > CoolSculpting > ดูดไขมัน )


ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดแฟตขามีอะไรบ้าง ? 

  • ข้อดี การฉีดแฟตต้นขา 
    • หลังฉีดแฟตลดต้นขาไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น
    • บวมช้ำน้อย (อาจบวมเป็นปริมาณยาได้ ใน 3 – 4 ชั่วโมงแรก)
    • ใช้เวลาในการฉีดไม่นาน
    • เห็นผลเร็ว ปลอดภัยสูง
    • การฉีด mesofat ต้นขา ราคาไม่แพง
  • ข้อเสียการฉีดแฟตต้นขา  
    • ในผู้ที่มีปริมาณไขมันมาก ๆ อาจต้องฉีดประมาณ 4-5 ครั้ง จึงจะเห็นผลที่ชัดเจน 
    • ไม่สามารถเห็นผลได้ทันที ไม่เหมือนการทำ CoolSculpting (25 %)  หรือ ดูดไขมัน 

ฉีดเมโสแฟตขามีผลข้างเคียงไหม อันตรายหรือไม่ ? 

การฉีดเมโสแฟตสลายไขมันขา ผลข้างเคียงหลังทำ ที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติจะคล้าย ๆ กับการฉีดเมโสแฟต ต่ำแหน่งอื่น ๆ เช่น แก้ม เหนียง เช่น 

  • อาการบวม : เป็นอาการบวมจากปริมาณของตัวยาที่ฉีดเข้าไป ซึ่งสามารถหายไปได้เอง 
  • เขียวช้ำ : มีอาการบวมเขียวช้ำจากรอยเข็มได้ ซึ่งบริเวณต้นขา ด้านในของต้นขา ผิวค่อนข้างบางอาจเห็นรอยเขียวช้ำได้ง่าย สามารถหายได้เองเช่นกัน 
  • รู้สึกตึง ๆ ผิว ในตำแหน่งที่ฉีด : เนื่องจากเป็นลงเข็มฉีดตัวยาเข้าสู่ผิว จึงอาจรู้สึกปวด ๆ ตึง ๆ เล็กน้อยได้ อาการจะหายได้เองเช่นกัน 

ส่วนใครที่กังวลเรื่องความปลอดภัย การฉีดเมโสแฟตเป็นการสลายไขมันที่ปลอดภัย หากเป็นตัวยาที่มีคุณภาพ สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นของแท้ และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เนื่องจากตัวยาเป็นสารสกัดที่มาจากธรรมชาติ ร่างกายสามารถขับออกไปได้หมดโดยไม่ตกค้าง 

แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ มีคนซื้อตัวเมโสแฟตที่ขายในช่องทางออนไลน์ มาฉีดกันเองครับ รวมถึงมีคลินิกเถื่อนใช้ตัวยาปลอม หรือตัวยาประเภทอื่น ๆ มาใช้ฉีดเพื่อหวังผลให้ขาเล็กลง เช่น

  1. ยาสลายฟิลเลอร์ (Hyaluronidase)
  2. สเตียรอยด์

ตัวเหล่านี้หากใช้ถูกวิธีมีความปลอดภัย แต่หากใช้ผิดวิธี ก็ทำให้เกิดผลข้างเคียงภายหลังได้ เช่น เกิดผิวหนังบุ๋ม เกิดการติดเชื้อ หรือมีการบวมน้ำตามร่างกายได้ และยิ่งวิธีการฉีดกันเอง ตัวยามีสิ่งปนเปื้อน ขั้นตอนการฉีดไม่สะอาดพอ ก็อาจเสียงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา แพ้ยา เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงตามมาได้ 


ฉีดสลายไขมันต้นขามีขั้นตอนการทำอย่างไร ? 

ขั้นตอนการฉีดเมโสแฟตต้นขา ก่อนเข้ารับการฉีดเมโสแฟตต้นขา แพทย์จะต้องประเมินปริมาณไขมัน เช่น ต้องการลดต้นขาด้านนอก /ต้นขาด้านใน มีไขมันเยอะหรือ เพื่อให้แพทย์สามารถแนะนำปริมาณตัวยา และยี่ห้อเมโสแฟตที่เหมาะสมให้ได้ 

ขั้นตอนฉีดแฟตขา
ขั้นตอนฉีดแฟตขา

(แพทย์ประเมินปริมมาณไขมัน ฉีดลดไขมันต้นขาด้าน และต้นขาด้านนอก เพื่อประเมินปริมาณตัวยา ) 

นอกจากนี้คนไข้ควรแจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัว อย่างละเอียดเพื่อให้แพทย์ประเมินความเหมาะสม ส่วนขั้นตอนการฉีดมีดังนี้

  • ก่อนฉีดเมโสแฟตขา จะมีเจ้าหน้าที่จะทำความบริเวณที่กำจัดไขมัน 
  • ก่อนลงเข็มฉีดแฟตต้นขา เจ้าหน้าที่จะคอยประคบเย็น ในบริเวณที่ฉีดเพื่อลดความเจ็บลง
  • แพทย์ฉีดตัวยาเมโสแฟต ตามตำแหน่งที่ประเมินไว้ 

ฉีดสลายไขมันต้นขาเจ็บไหม บวมกี่วัน ? 

การฉีดสลายไขมันต้นขามีการประคบเย็นให้ครับ จึงช่วยลดความเจ็บลง ขณะฉีดอาจรู้สึกปวด ๆ ตึง ๆ ต้นขา เป็นความเจ็บที่ทนได้ครับ ส่วนอาการบวมจากตัวยา หลังฉีดเมโสแฟตต้นขา จะยุบลงได้เอง เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง ส่วนอาการบวม จากการลงเข็ม จะมีอาการบวมในบริเวณที่ฉีดประมาณ 1 – 3 วัน ครับ 


ใครที่ควรทำและไม่ควรทำเมโสแฟตขา

การฉีดเมโสแฟตขา สามาถช่วยลดสัดส่วนขา ต้นขาที่มีไขมันสะสมออกได้ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการกำจัดไขมัน แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะกับการฉีดเมโสแฟตทั้งหมดครับ ผู้ที่ควรและไม่ควรสลายไขมันต้นขามีดังนี้ 

คนที่ควรทำ

  • ผู้ที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินสะสมอยู่ที่ต้นขา ทำให้รู้สึกขาใหญ่ ต้นขาเกิดการเสียดสี
  • ผู้ที่ต้องการลดสัดส่วนให้ขาดูเรียวสวยได้รูปมากขึ้น
  • ผู้ที่ออกกำลังกายแล้ว แต่ต้นขายังไม่ลด 
  • ผู้ที่อยากเห็นผลเร็ว แต่ไม่อยากเจ็บตัวดูดไขมัน ไม่มีเวลาพักฟื้น หรือมีงบจำกัด

คนที่ไม่ควรทำ

การฉีดแฟตขา หรือ ฉีดแฟตในส่วนอื่น ๆ มีข้อห้ามสำหรับคนไข้บางกลุ่ม เช่น

  • ผู้ที่อายุยังน้อยกว่า 18 ปี
  • สตรีมีครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างให้นมบุตร
  • ผู้ที่ใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด
  • มีโรคประจำตัว เช่น โรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เส้นเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน
  • คนไข้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • อยู่ในระหว่างการรักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจ มีการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ
  • โรคเบาหวาน ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ มีการรักษาด้วยยาหลายชนิด

เพื่อความปลอดภัย ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งข้อมูลสุขภาพ ให้แพทย์ทราบ เพื่อให้แพทย์ช่วยประเมินความเหมาะสม ควรหรือไม่ควรฉีดเมโสแฟตขาครับ 


การดูแลตัวเองก่อนและหลังมาฉีดสลายไขมันต้นขา

การเตรียมความพร้อม ดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังฉีดสลายไขมันต้นขา เป็นสิ่งที่ควรละเลยครับ เพราะส่งผลต่อผลลัพธ์หลังทำ ว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ประเมินไว้หรือไม่ 

ก่อนมาฉีดสลายไขมันต้นขาควรเตรียมตัวอย่างไร ? 

  • ก่อนฉีดเมโสแฟตลดต้นขาควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทำเมโสแฟตอย่างละเอียด
  • เข้ารับขอคำปรึกษาจากแพทย์ที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้แพทย์ตรวจประเมินปริมาณไขมัน ความเหมาะสม คำนวณปริมาณตัวยาที่ใช้ รวมถึงการคาดหวังผลลัพธ์ในแต่ละบุคคลครับ
  • ก่อนเข้ารับการฉีดเมโสแฟตขา 48 ชั่วโมง ต้องงดยาในกลุ่มของ แอสไพริน, NSAIDs และ Dipyridamole

หลังฉีดสลายไขมันต้นขาควรดูแลตัวเองอย่างไร ?

  1. ควรดื่มน้ำมาก ๆ : ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 2 ลิตร ต่อวัน เพื่อให้ไขมันเหลวที่ถูกสลายจากตัวยาเมโสแฟตถูกขับออกมาได้มากขึ้น 
  2. ควบคุมการรับประทานอาหาร : ควรเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทของทอดของมัน อาหารไขมันสูง ที่เป็นตัวการก่อไขมัน ทำให้ต้นขาใหญ่จากไขมันได้อีก คนไข้ควรปรับพฤติกรรมนิสัยการรับประทานอาหาร และมีวินัยในการควบคุมน้ำหนัก ให้มากขึ้นครับ
  3. หมั่นออกกำลังกาย : เพื่อลดการสะสมของไขมัน และเป็นการช่วยกำจัดไขมันออกจากร่างกายให้เร็วขึ้น คนไข้สามารถเริ่มออกหลังทำการฉีดเมโสแฟตขามาแล้ว 1 สัปดาห์ โดยออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30-45 นาที อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง
ดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสแฟตขา

นอกจากนี้ควรเลี่ยงการเข้าอบซาวน่า การนวด จับ บีบ บริเวณต้นขา และเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หรือการทำทรีทเมนต์ใด ๆ หลังฉีดเมโสแฟตขาประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อลดการบวมช้ำให้น้อยลงครับ


หลังฉีดสลายไขมันต้นขามีข้อห้ามอะไรบ้าง ?

หลังฉีดเมโสแฟตต้นขา ขา น่อง สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้น ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลใจ ว่าจะต้องยุ่งยากเรื่องการดูแลตัวเองหลังฉีดแฟต มีเพียงข้อห้ามไม่กี่ข้อ ที่สามารถปฏิบัติตามได้ง่าย ๆ ดังนี้

  1. หลีกเลี่ยงความร้อน การแช่น้ำอุ่น หลังทำ ประมาณ 1 อาทิตย์ เพื่อไม่ให้เกิดการบวมช้ำมากขึ้น และลดการฟกช้ำให้น้อยลง
  2. ห้ามขัด นวด ต้นขา เพราะอาจเกิดการติดเชื้อในบริเวณที่ฉีด ผิวหนังบริเวณที่ฉีดอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือเกิดรอยช้ำได้
  3. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประมาณ 3 วัน เพื่อลดการบวมช้ำ
  4. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดการสะสมของไขมัน เช่น การรับประทานอาหารที่มีไขมัน และน้ำตาลสูง หลังฉีดเมโสแฟตแก้ม ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารควบคู่

ในบางราย หลังฉีดเมโสแฟตต้นขา ขา อาจมีอาการบวม ช้ำ หรือรู้สึกเจ็บปวดบริเวณบ้างเล็กน้อยหากออกแรงกดบริเวณต้นขา แต่อาการเหล่านี้จะหายไปได้เอง ใน 1-3 วัน ครับ ระหว่างนี้สามารถรับประทานยาลดบวมได้ตามแพทย์แนะนำ


ฉีดเมโสแฟตขาที่ไหนดี ? 

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เปิดอย่างถูกกฎหมาย มีเลขที่ใบอนุญาตแจ้งไว้ชัดเจน
  • เลือกคลินิกที่ใช้ตัวยาของแท้ มีเลขที่ Lot. และชื่อบริษัทนำเข้าที่สามารถตรวจสอบได้
  • มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ทำหัตถการ เพื่อให้สามารถประเมินปริมาณยาที่ใช้ได้อย่างเหมาะสม และฉีดตัวยาด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง
  • มีรีวิวที่น่าเชื่อถือ โดยคลินิกจะต้องรีวิวจากผู้ที่ใช้บริการจริงที่มีตัวตน และเข้ารับการรักษาจริง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่หน้าม้าในการทำโฆษณา
  • ดูคลินิกที่มีหลายสาวขา เพื่อความสะดวกต่อการเลือกไปใช้บริการในสาขาที่ใกล้บ้าน หรือใกล้ที่ทำงาน ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางได้

ฉีดเมโสแฟตขา ใช้ยี่ห้อไหนดี กี่ CC ? 

โดยปกติเมโสแฟต 1 ขวด มี 10 CC ครับ ก่อนฉีดแพทย์จะประเมินว่าคนไข้ในเคสนั้นใช้ Meso Fat กี่ CC ซึ่งแต่ละคนจะใช้ปริมาณยาไม่เท่ากัน แล้วแต่ปริมาณไขมัน และความต้องการของคนไข้ รวมถึงปริมาณการใช้กี่ CC ยังสัมพันธ์กับบริเวณที่ฉีด บริเวณต้นขาที่มีไขมันเยอะ ต้องใช้ปริมาณสูงกว่า โดยทั่วไป บริเวณต้นขาจะเริ่มที่ 40 CC ต่อ 1 ข้าง 


ฉีดสลายไขมันต้นขา ราคาเท่าไร ? 

Meso fat ราคา โดยทั่วไปจะอยู่ที่ครั้งละประมาณ 2,500.-/ครั้ง การฉีดเมโสแฟต ราคาจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อ สูตรที่ใช้ ปริมาณ CC ที่ใช้ (1 ขวดมีตัวยา 10 cc) จำนวนครั้งที่ฉีด และจุดที่ฉีด หมอจะเป็นผู้ประเมินปริมาณตัวยาที่แนะนำให้ฉีดในแต่ละครั้ง ตามความเหมาะสมของแต่ละราย

เมโสแฟตต้นขา ใช้จำนวน cc เยอะ เนื่องจากเป็นจุดที่มีไขมันสะสมจำนวนมาก หลัก ๆ หมอแนะนำเป็นสูตรเร่งไว FNC / BABI / V-line ซึ่งช่วยสลายไขมัน ยุบดีและยุบไว โดยมีรายละเอียดราคาดังนี้

เมโสแฟตขาราคา

รายละเอียดราคา เมโสแฟตขา NEOBELLA / FNC / BABI 

  • เมโสแฟตตัว สูตร Neobella
    • 20 CC ราคา 5,000.-
    • 40 CC ราคา 9,000.-
    • 100 CC ราคา 20,000.-
    • 120 CC ราคา 24,000.-
  • เมโสแฟตตัว สูตร FNC / BABI
    • 30 CC ราคา 9,900.-
    • 60 CC ราคา 18,000.-
    • 90 CC ราคา 25,000.-

ฉีดสลายไขมันต้นขา ฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล

ฉีดเมโสแฟตต้นขาในครั้งแรก จะเห็นผลว่าบริเวณที่ฉีดเริ่มยุบลงภายใน 5-7 วัน ครับ หลังจากนั้น 2-3 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลลัพธ์อย่างเต็มที่ครับ

สามารถกลับมาฉีดเมโสแฟตซ้ำได้ตามคำแนะนำของแพทย์ หากคนไข้ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเคสที่มีไขมันมาก อาจฉีด 4-5 ครั้ง และการฉีดต่อเนื่องจะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น


ฉีดสลายไขมันต้นขา อยู่ได้กี่เดือน ?

การฉีด meso fat ต้นขาอยู่ได้นานแค่ไหน จะขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตประจำวัน การรับประทานอาหารด้วยเช่นกันครับ แต่ปกติแล้วจะสามารถรักษาผลลัพธ์ได้นาน 2-3 เดือน ถ้าดูแลตัวเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หลีกเลี่ยงของทอด ของมัน ไม่เพิ่มไขมันให้ตัวเองก็จะช่วยรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้น


รีวิว ฉีดเมโสแฟตขา

เมโสแฟตขารีวิว

สรุป

สำหรับใครที่มีปัญหาต้นขาใหญ่ ลดยาก การฉีดเมโสแฟตขา ลดต้นขา เป็นวิธีที่สะดวก ปลอดภัย และเห็นผล ช่วยสลายไขมันเฉพาะจุดได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ใช้เวลาฉีดไม่นาน ราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับหัตถการอื่น แต่หลังฉีดเมโสแฟตต้นขาแล้ว ก็ยังต้องดูแลตัวเอง ทั้งการออกกำลังกายและควบคุมอาหารที่ต้องทำควบคู่กันไป เพื่อคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้นครับ


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ

หมอให้คำปรึกษา_หมอ29คน
ฉีดแฟตแก้ม โดย หมอเพลิน

ฉีดแฟตแก้ม ลดแก้มได้แค่ไหน สิ่งที่ควรรู้ก่อนฉีดมีอะไรบ้าง

Categories
mesofat
ฉีดแฟตแก้ม โดย หมอเพลิน

ฉีดแฟตแก้ม 

ไขมันสะสมบริเวณแก้มและเหนียงเป็นอีกจุดที่ลดยากและใช้เวลานานครับ จึงทำให้หลายคนถอดใจหรือหาหัตถการทางการแพทย์เข้ามาช่วย นั่นก็คือการฉีดแฟตแก้ม หรือเมโสแฟตแก้ม ซึ่งเป็นวิธีสลายไขมันส่วนเกินบริเวณแก้มแบบเร่งด่วน ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น และราคาไม่แพงมาก

ในบทความนี้หมอจะมาอธิบายเกี่ยวกับการฉีดเมโสแฟตสลายไขมันแก้มว่า ช่วยสลายไขมันที่แก้มได้อย่างไร ? เห็นผลแค่ไหน ? ต้องทำกี่ครั้งถึงเห็นผล ? อันตรายไหม ? มีข้อควรปฏิบัติและข้อห้ามหลังฉีดอย่างไรบ้าง ?

ติตดามอ่านทุกประเด็นที่ควรรู้ก่อนฉีดแฟตแก้มในหัวข้อต่อไปนี้ได้เลยครับ

สารบัญ ฉีดแฟตแก้ม

  1. ฉีดแฟตแก้ม คืออะไร ? ช่วยสลายไขมันที่แก้มได้อย่างไร ?
  2. ไขมันที่แก้มเยอะเกินไป เกิดจากอะไร ? แก้ไขอย่างไร ?
  3. ฉีดแฟตแก้มดีไหม ? เห็นผลแค่ไหน ?
  4. ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดแฟตแก้ม มีอะไรบ้าง ?
  5. ฉีดแฟตแก้มอันตรายไหม สิ่งที่ควรระวัง มีอะไรบ้าง ?
  6. ฉีดแฟตแก้มมีผลข้างเคียงไหม ?
  7. ฉีดแฟตแก้มเจ็บไหม ? บวมกี่วัน ?
  8. ฉีดแฟตแก้มเหมาะกับใคร ?
  9. ฉีดแฟตแก้มไม่เหมาะกับใคร ?
  10. วิธีเตรียมตัวก่อนมาฉีดแฟตแก้ม
  11. ฉีดแฟตแก้มมีขั้นตอนการฉีดอย่างไร ?
  12. หลังฉีดแฟตแก้มควรดูแลตัวเองอย่างไร ให้เห็นผลชัดเจน อยู่ได้นาน ?
  13. หลังฉีดแฟตแก้มมีข้อห้ามอะไรบ้าง ?
  14. ฉีดแฟตแก้ม ใช้ยี่ห้อไหนดี ? แต่ละยี่ห้อต่างกันอย่างไร ?
  15. ฉีดแฟตแก้มใช้กี่ CC ?
  16. ฉีดแฟตแก้ม ฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล ?
  17. ฉีดแฟตแก้ม อยู่ได้กี่เดือน ?
  18. ฉีดแฟตแก้ม ราคาเท่าไร ?
  19. ฉีดแฟตแก้มที่ไหนดี ให้ได้ผลลัพธ์ชัดเจน ปลอดภัย ?
  20. รีวิว ฉีดแฟตแก้ม แก้ปัญหาแก้มใหญ่ แก้มเยอะ
ฉีดเมโสแฟตแก้ม
ฉีด mesofatแก้ม

รีวิวฉีดเมโสแฟตลดแก้ม ปรับหน้าเรียว

แก้มเยอะ หน้ากลม แก้ไขได้! วิธีลดแก้ม ลดไขมันบนหน้า ด้วย Hifu โบท็อก เมโสแฟต

ฉีดแฟตแก้ม คืออะไร ? ช่วยสลายไขมันที่แก้มได้อย่างไร ?

ฉีดแฟตแก้ม คือ การฉีดตัวยาเมโสแฟตที่มีฤทธิ์ในการสลายไขมัน เข้าไปยังบริเวณแก้มที่มีไขมันส่วนเกินสะสมอยู่ด้วยเทคนิคเฉพาะ โดยตัวยาจะเข้าไปทำปฏิกิริยากับไขมัน ทำให้ไขมันแตกตัวและถูกขับออกมาพร้อมของเสียในร่างกาย เช่น ปัสสาวะ เหงื่อ ช่วยให้ไขมันบริเวณแก้มลดลง ขนาดแก้มจึงดูเล็กลง ใบหน้าเรียวขึ้นครับ

และนอกจากนี้เมโสแฟตยังฉีดสลายไขมันในจุดอื่น ๆ เช่น เหนียง ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง ได้เช่นกันครับ โดยสามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้โดยไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียง

ฉีดเมโสแฟต (Meso Fat) คืออะไร ? ช่วยอะไร ? ฉีดจุดไหนได้บ้าง ?

ไขมันที่แก้มเยอะเกินไป เกิดจากอะไร ? แก้ไขอย่างไร ?

  1. กรรมพันธุ์ : ถ้าหากพ่อ แม่ ญาติพี่น้องมีรูปหน้ากลม มีแก้มเยอะ มีโอกาสที่ลูกหลานจะมีลักษณะรูปหน้ากลมตามได้เช่นกันครับ
  2. พฤติกรรมการรับประทานอาหาร : การรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ของทอด ของหวานที่มีน้ำตาลสูงเกินกว่าที่ร่างกายต้องการต่อวัน แล้วไม่ได้เผาผลาญออก ทำให้เกิดการสะสมของไขมันส่วนเกินที่บริเวณต่าง ๆ ในร่างกายรวมถึงแก้ม โดยเป็นสาเหตุของการเกิดไขมันสะสมบริเวณแก้มที่พบได้มากที่สุด
  3. ระบบเผาผลาญทำงานได้ไม่เต็มที่ : ทำให้ร่างกายเผาผลาญสารอาหารเป็นพลังงานได้ไม่หมดจนเกิดเป็นไขมันสะสมอยู่ในร่างกายตามส่วนต่าง ๆ ซึ่งการที่ระบบเผาผลาญทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเกิดได้ทั้งจากอายุมากขึ้น ความเครียด โรคไทรอยด์ เป็นต้นครับ
  4. อายุมากขึ้น : ชั้นไขมันทรุดตัวลงตามวัย ทำให้ผิวหน้าแก้มหย่อนคล้อย เห็นเป็นแก้มห้อย แก้มย้อย

โดยวิธีลดไขมันส่วนเกินบริเวณแก้มที่ทุกคนสามารถทำด้วยตนเองได้คือ การควบคุมอาหาร และออกกำลังกายเผลาผลาญไขมันครับ แต่ถ้าหากลดด้วยตนเองแล้วยังไม่เห็นผลชัดเจน หรือต้องการเห็นผลเร็ว ก็สามารถรักษาด้วยหัตถการทางการแพทย์ร่วมด้วย

โดยวิธีลดแก้มด้วยหัตถการทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมหลัก ๆ ได้แก่ การฉีดเมโสแฟตสลายไขมันแก้ม, Thermage, HIFU Ultraformer III ควรใช้วิธีไหนหมอจะประเมินตามสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาแก้มเยอะ หน้าบาน และความต้องการของคนไข้เป็นหลักครับ


ฉีดแฟตแก้มดีไหม ? เห็นผลแค่ไหน ?

ฉีดแฟตแก้มดีไหม

อยากลดแก้มแบบเร่งด่วน ฉีดแฟตแก้มดีไหม ? การฉีดเมโสแฟตเป็นวิธีปรับรูปหน้า สลายไขมันเฉพาะจุดโดยไม่ต้องผ่าตัด จึงไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น และราคาไม่แพงครับ โดยจะช่วยสลายไขมันได้ 10-15% ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด และจะเห็นผลเต็มที่ประมาณ 1-3 สัปดาห์หลังทำ ว่าแก้มดูเล็กลง ใบหน้าเรียวเข้ารูป สร้างความมั่นใจมากยิ่งขึ้นสำหรับใครที่กังวลเวลายิ้มแล้วดูแก้มเยอะ หน้าดูบานเวลาถ่ายรูป


ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดแฟตแก้ม มีอะไรบ้าง ?

ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดแฟตแก้ม

ข้อดีของการฉีดแฟตแก้ม

  • เป็นหัตถการที่ใช้เวลาทำไม่นาน
  • บวมช้ำน้อย ไม่ใช่การผ่าตัด สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังทำ
  • ช่วยปรับรูปหน้าเรียววีเชฟ กรอบหน้าชัดขึ้น
  • มีความปลอดภัยสูง
  • เห็นผลเร็ว
  • ทำร่วมกับหัตถการอื่นได้โดยไม่มีผลข้างเคียง

ข้อเสียของการฉีดแฟตแก้ม

  • ฉีด fatแก้ม ไม่ใช่วิธีสลายไขมันที่เห็นผลลัพธ์ถาวร ไขมันสามารถกลับมาสะสมใหม่ได้ จึงควรทำร่วมกับการออกกำลังกาย คุมอาหารถึงจะเห็นผลดีและอยู่ได้นาน
  • ในคนที่มีปริมาณไขมันสะสมมาก อาจต้องฉีดเมโสแฟตแก้มหลายครั้ง หรือทำร่วมกับหัตถการอื่นถึงเห็นผลถึงจะเห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น
  • เมโสแฟตหาซื้อได้ง่ายตามอินเทอร์เน็ตครับ หากเจอของปลอมของหิ้วที่ตัวยาไม่มีคุณภาพแล้วเกิดพลาดฉีดเข้าไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

ฉีดแฟตแก้มอันตรายไหม ? สิ่งที่ควรระวัง มีอะไรบ้าง ?

ฉีดแฟตแก้มไม่อันตรายครับ หากฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ภายใต้คลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และใช้ตัวยาของแท้ เพราะตัวยาเมโสแฟตทำจากสารสกัดจากธรรมชาติเป็นหลัก ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้ได้น้อยมาก

ในการฉีดแฟตแก้ม สิ่งที่ควรระวังคือ การใช้เมโสแฟตของปลอม ของหิ้วตามอินเทอร์เน็ต หรือจากคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะตัวยาที่ใช้อาจเป็นสาร Hyaluronidase หรือสเตียรอยด์ ซึ่งมีราคาถูก ต้นทุนต่ำ และเห็นผลไว

โดยสารเหล่านี้หากอยู่ในการดูแลของแพทย์และนำมาใช้อย่างถูกต้องจะไม่ทำให้เกิดอันตรายครับ แต่ถ้านำมาใช้ผิดวัตถุประสงค์อย่างการนำมาฉีดสลายไขมัน ช่วงแรกอาจเห็นผลได้เร็ว แต่ในระยะยาวจะทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ฉีดแล้วไม่เห็นผล ผิวบางขึ้น เสี่ยงต่อการอักเสบติดเชื้อได้มากกว่าเดิม เป็นต้น

เมโสแฟตอันตรายไหม ? ฉีดแล้วหน้าบวมแก้อย่างไร ? l หมอ V Square แชร์หมดเปลือก
Vsquare tips

ข้อควรรู้ : Hyaluronidase คือ เอนไซม์ที่ใช้ในการฉีดสลายฟิลเลอร์ ไม่เป็นอันตรายหากใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและอยู่ในการดูของแพทย์ โดยถ้าหากฉีดสารนี้ในปริมาณที่มาก ตัวยาจะเข้าไปสลายคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว ผลข้างเคียงในระยะยาว คือ ผิวเหี่ยวย่นจากการสูญเสียคอลลาเจน และเกิดริ้วรอยก่อนวัย


ฉีดแฟตแก้มมีผลข้างเคียงไหม ?

รอยเข็มจิ้มตามจุดที่ฉีดเมโสแฟตแก้ม
รอยเข็มจิ้มตามจุดที่ฉีดเมโสแฟตแก้ม
  • รอยเขียวช้ำจากเข็มตามจุดที่ฉีดแฟต
  • อาการบวมจากการทำงานของตัวยาในการสลายไขมันให้แตกตัว โดยจะเห็นได้ว่าแก้มมีลักษณะบวมเป็นก้อนคล้ายกำลังอมลูกอมหลาย ๆ เม็ด บวมมากหรือบวมน้อยขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล เป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ตามปกติ และสามารถหายได้เอง

ฉีดแฟตแก้มผลข้างเคียงน้อยหรือแทบไม่มีเลยครับ แต่ถ้าหลังฉีดเกิดอาการปวดหรืออาการอักเสบ ซึ่งอาจเกิดจากการใช้ตัวยาที่ไม่ได้มาตรฐานหรือขั้นตอนการฉีดแฟตแก้มไม่มีความสะอาด ทำให้เกิดการปนเปื้อนของเชื้อโรคระหว่างทำหัตถการ โดยหากพบอาการเหล่านี้ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างเร่งด่วน


ฉีดแฟตแก้มเจ็บไหม ? บวมกี่วัน ?

ฉีดแฟตแก้มจะรู้สึกแสบ ๆ ผิวได้เล็กน้อยจากการเดินยาครับ ซึ่งก่อนฉีดแฟตแก้มจะมีการประคบเย็นหรือแปะยาชาเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บ ส่วนหลังฉีดแฟตแก้มอาจเกิดอาการบวมช้ำจากตัวยาได้เป็นปกติ โดยอาการบวมสามารถยุบได้เองใน 3-4 ชั่วโมง


ฉีดแฟตแก้มเหมาะกับใคร ?

  • ผู้ที่ต้องการสลายไขมันสะสมเฉพาะบริเวณแก้ม
  • ผู้ที่ต้องการปรับหน้าเรียว กรอบหน้าชัด
  • ผู้ที่ออกกำลังกาย ควบคุมอาหารแล้วแก้มยังไม่ลดอย่างที่ต้องการ
  • ผู้ต้องการสลายไขมันแก้มอย่างรวดเร็ว เห็นผลไว
  • ผู้ที่ไม่ต้องการดูดไขมัน หรือผ่าตัดไขมันกระพุ้งแก้ม

ฉีดแฟตแก้มไม่เหมาะกับใคร ?

ฉีดลดแก้มด้วยเมโสแฟต ไม่เหมาะในกลุ่มคนดังต่อไปนี้ครับ

  • ผู้ที่อายุยังน้อยกว่า 18 ปี
  • ผู็ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างให้นมบุตร
  • ผู้ที่อยู่ในระหว่างการใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เส้นเลือดสมองตีบหรืออุดตัน
  • ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ผู้ที่อยู่ในระหว่างการรักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจ
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ มีการรักษาด้วยยาหลายชนิด

วิธีเตรียมตัวก่อนมาฉีดแฟตแก้ม

แพทย์ประเมินปัญหาก่อนฉีดแฟตแก้ม โดย หมอเพลิน
แพทย์ทำการฉีดแฟตแก้ม โดย หมอเพลิน
  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหัตถการอย่างละเอียด การเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน วิธีสังเกตเมโสแฟตของแท้ ของปลอม วิธีการดูแลตัวเองและข้อควรระวังหลังทำ เพื่อความปลอดภัย และให้เมโสแฟตทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
  • ก่อนฉีดเมโสแฟต 3 วัน ควรงดเลเซอร์และนวดหน้า
  • ก่อนฉีดเมโสแฟต 48 ชั่วโมง ควรงดยากลุ่มแอสไพริน วิตามิน ที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด

ฉีดแฟตแก้มมีขั้นตอนการฉีดอย่างไร ?

  • เข้าพบแพทย์ ปรึกษาปัญหาและแจ้งความต้องการ รวมถึงหากมีโรคประจำตัว ยาที่รับประทานอยู่เป็นประจำควรแจ้งแพทย์ในขั้นตอนนี้ครับ
  • แพทย์ทำการประเมินปัญหา แนะนำยี่ห้อเมโสแฟต ปริมาณยาที่ใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการของคนไข้
  • ผู้ช่วยแพทย์ทำความสะอาดใบหน้า
  • ประคบน้ำแข็ง/แปะยาชาบริเวณที่ฉีด เพื่อบรรเทาความเจ็บขณะเข็มจิ้ม
  • แพทย์เริ่มทำหัตถการ ดันตัวยาเมโสแฟตเข้าชั้นผิวจนหมด

หลังฉีดแฟตแก้มควรดูแลตัวเองอย่างไร ให้เห็นผลชัดเจน อยู่ได้นาน ?

หลังฉีดแฟตแก้มควรดูแลตัวเองอย่างไร

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดแฟตแก้มทันที

หลังฉีดจะมีอาการบวมประมาณ 3-4 ชั่วโมง สามารถรับประทานยาลดบวม ตามคำแนะนำของแพทย์ครับ โดยสิ่งสำคัญหลังฉีดแฟตแก้มคือ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อให้ไขมันที่ถูกสลายขับออกมาพร้อมของเสียในร่างกายได้มากขึ้นทางเหงื่อหรือปัสสาวะ

ข้อควรแนะนำหลังฉีดแฟตแก้มที่ควรทำเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการรักษาที่ดีมากขึ้น

  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร : โดยควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย เน้นอาหารปรุงสุก อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารคลีน อาหารแคลอรี่ต่ำ ผัก-ผลไม้
  • ออกกำลังกาย : ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30-45 นาที อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อกำจัดไขมันให้ออกจากร่างกายได้เร็วมากขึ้น และป้องกันการสะสมของไขมันส่วนเกิน
  • นอนพักผ่อนให้เพียงพอ : ช่วยให้ระบบในร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ระบบเผาผลาญทำงานได้เป็นปกติ

หลังฉีดแฟตแก้มมีข้อห้ามอะไรบ้าง ?

ข้อห้ามหลังฉีดแฟตแก้ม
  • ห้ามกด นวดบริเวณที่ฉีดเมโสแฟต เพราะอาจเกิดการอักเสบจากรอยเข็มได้ ควรปล่อยให้ตัวยาค่อย ๆ ซึมและยุบไปเองใน 3-4 ชั่วโมง
  • งดทาครีมบริเวณรอยเข็ม 1 คืน
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประมาณ 3 วัน เพื่อลดการบวมช้ำ
  • ห้ามอบซาวน่าหลังทำ ประมาณ 1 อาทิตย์ เพื่อไม่ให้เกิดการบวมช้ำมากขึ้น และลดการฟกช้ำให้น้อยลง
  • ห้ามขัดหน้าหรือทำทรีทเม้นต์ รวมถึงการไปว่ายน้ำ หลังฉีดแฟตแก้ม เพราะอาจเกิดการติดเชื้อในบริเวณที่ฉีด ผิวหนังบริเวณที่ฉีดอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือเกิดรอยช้ำได้
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดการสะสมของไขมัน การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง

ส่วนหลังฉีดแฟตแก้มไม่ได้มีอาหารที่ห้ามรับประทานเป็นพิเศษครับ แต่ช่วงแรกแนะนำให้เลี่ยงอาหารหมักดองไปก่อน เพราะอาจมีสารที่กระตุ้นกระบวมการอักเสบ ทำให้อาการบวมหายได้ช้าลง แต่ถ้าเกิดเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็สามารถทานได้ครับ ไม่ได้ทำให้เกิดอันตราย


ฉีดแฟตแก้ม ใช้ยี่ห้อไหนดี ? แต่ละยี่ห้อต่างกันอย่างไร ?

ในปัจจุบันเมโสแฟตมีให้เลือกหลายยี่ห้อครับ แต่ละยี่ห้อจะมีคุณสมบัติที่ต่างกันไป ในการฉีดแฟตสลายไขมันแก้ม หมอแนะนำยี่ห้อแฟตที่ได้รับความนิยม ได้แก่ 

  • Phytobella เมโสแฟตจากเกาหลี ตัวยาเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ช่วยสลายไขมัน ยกกระชับผิว ลดอาการบวมน้ำ ฉีดแล้วยุบดี ไม่บวมแดง และไม่ทำให้ผิวหย่อนคล้อย ขณะฉีดจะรู้สึกแสบเล็กน้อย
ฉีดแฟตแก้มยี่ห้อ Phytobella
  • BABI Neo One เมโสแฟตจากเกาหลี เหมาะกับคนที่มีปัญหาแก้มหย่อน สามารถช่วยลดไขมันพร้อมยกกระชับ ฉีดแล้วยุบดี กรอบหน้าชัดและดูมีมิติมากยิ่งขึ้น หลังฉีดไม่มีอาการบวมแดง รู้สึกแสบน้อยที่สุดในบรรดายี่ห้อเมโสแฟต
ฉีดแฟตแก้มยี่ห้อ BABI Neo One
  • FNC 30 เมโสแฟตจากเกาหลี เหมาะกับคนที่มีแก้มเยอะ ช่วยสลายไขมันและยกกระชับหน้าด้วย Special Peptides และปรับสมดุลต่อมน้ำเหลือง ฉีดแล้วยุบดีและไว ไม่ทำให้ผิวหย่อนคล้อย ขณะฉีดจะรู้สึกแสบกลาง ๆ ครับ
ฉีดแฟตแก้มยี่ห้อ FNC 30

ฉีดแฟตแก้มใช้กี่ CC ?

Mesofatแก้ม เริ่มต้นใช้ที่ 6 cc ซึ่งแต่ละคนจะมีระดับไขมันสะสมที่ต่างกัน หมอจะเป็นผู้ประเมินตามความเหมาะสมร่วมกับความต้องการของคนไข้เป็นรายเคสไปครับ


ฉีดแฟตแก้ม ฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล ?

ฉีดแฟตแก้มกี่ครั้งถึงเห็นผล ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันสะสมเดิมและการดูแลตัวเองหลังทำของแต่ละบุคคล ซึ่งการฉีดแฟตจะช่วยสลายไขมันได้ประมาณ 10-15% ต่อการฉีด 1 ครั้ง โดยหมอจะแนะนำให้ฉีดอย่างต่อเนื่อง 4-5 ครั้ง เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น


ฉีดแฟตแก้ม อยู่ได้กี่เดือน ?

ผลลัพธ์จากการฉีด mesofatแก้ม อยู่ได้นานประมาณ 2-3 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันเดิมและการดูแลตัวเองหลังทำ หากคนไข้ต้องการคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานสามารถกลับมาฉีดแฟตแก้มซ้ำได้ และควรทำร่วมกับการดูแลตัวเอง ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เห็นผลได้ชัดเจนและอยู่นานมากยิ่งขึ้น ไม่เช่นนั้นอาจทำให้ไขมันกลับมาสะสมใหม่ได้ไวขึ้น แก้มดูเยอะ ดูกลมเหมือนเดิมครับ


ฉีดแฟตแก้ม ราคาเท่าไร ?

ฉีดแฟตแก้มราคาขึ้นอยู่กับยี่ห้อแฟต และปริมาณที่ใช้ครับ ในหลาย ๆ คลินิกมีการจัดเป็นคอร์สหรือโปรแกรมฉีดแฟตจะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะมีความคุ้มค่ามากกว่าการฉีดเป็นรายครั้งครับ

โปรโมชั่นฉีดแฟตแก้มที่ V Square Clinic ราคาเริ่มต้นที่ 2,000.-

ฉีดแฟตแก้มยี่ห้อ PHYTOBELLA

ฉีดแฟตแก้มยี่ห้อ PHYTOBELLA

  • 6 CC ราคา 2,000.- (คอร์ส 5 ครั้ง 9,000.-)
  • 12 CC ราคา 3,500.- (คอร์ส 5 ครั้ง 15,000.-)
  • 18 CC ราคา 5,000.- (คอร์ส 5 ครั้ง 20,000.-)
  • เหมาขวด 10 CC ราคา 3,200.-
ฉีดแฟตแก้มยี่ห้อ FNC  BABI Neo One

ฉีดแฟตแก้มยี่ห้อ FNC / BABI Neo One 

  • 6 CC ราคา 2,500.- (คอร์ส 5 ครั้ง 9,900.-)
  • 12 CC ราคา 4,500.- (คอร์ส 5 ครั้ง 18,000.-)
  • 18 CC ราคา 6,500.- (คอร์ส 5 ครั้ง 25,000.-)
  • เหมาขวด 10 CC ราคา 4,000.-

ฉีดแฟตแก้มที่ไหนดี ให้ได้ผลลัพธ์ชัดเจน ปลอดภัย ?

เลือกฉีดแฟตแก้มที่ไหนดี การเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่จะส่งผลต่อผลลัพธ์และความปลอดภัย หมอมี 4 วิธีเช็กคลินิกฉีดแฟตแก้มที่ได้มาตรฐานมาแนะนำ ดังนี้

4 วิธีเช็กคลินิกฉีดแฟตแก้มที่ได้มาตรฐาน

  1. คลินิกที่ได้มาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ต้องมีเลขที่ใบอนุญาต จำนวน 11 หลักติดไว้หน้าคลินิกแสดงให้เห็นชัดเจน บรรยากาศในคลินิกสะอาด ปลอดเชื้อ ไม่แออัด เครื่องมือและอุปกรณ์แพทย์ครบครัน และได้มาตรฐานความสะอาด
ฉีดแฟตแก้มกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน
  1. มีแพทย์ที่ประสบการณ์การปรับรูปหน้า ประจำคลินิก และต้องเป็นแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม สามารถตรวจสอบรายชื่อแพทย์ได้ที่ https://checkmd.tmc.or.th/
ตรวจสอบรายชื่อแพทย์
  1. มีรีวิว (feedback) จากผู้ใช้บริการจริง ซึ่งเป็นความคิดเห็นต่อการให้บริการและการรักษาของทางคลินิกและแพทย์ ซึ่งควรดูในแหล่งที่เป็นกลางที่คลินิกเองไม่สามารถลบหรือแก้ไขได้ เช่น Google Map, Wongnai, เพจเฟซบุ๊ค หากคลินิกแห่งไหนปิดการให้ชมในส่วนนี้ ควรเช็กให้ดีก่อนครับ เพราะอาจมีเคสหลุด หรือคอมเม้นท์ที่ไม่พึงพอใจต่อการให้บริการของคลินิกแห่งนั้น
รีวิวฉีดแฟตที่ไหนดี
ตัวอย่างรีวิวจากผู้ใช้บริการในเพจเฟซบุ๊ค
  1. ผลิตภัณฑ์เมโสแฟตที่คลินิกใช้ต้องเป็นของแท้ โดยหลังจากเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ ได้มาตรฐานแล้ว ก่อนฉีดเพื่อความปลอดภัย แนะนำให้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่ใช้ว่าเป็นของแท้นำเข้ามาอย่างถูกต้องโดยบริษัทนำเข้าหรือไม่ โดยสามารถให้หมอแกะกล่องให้ดูต่อหน้าครับ
วิธีดูเมโสแฟต Babi Neo One ของแท้
วิธีดูเมโสแฟต Babi Neo One ของแท้
วิธีดูเมโสแฟต Phytobella ของแท้
วิธีดูเมโสแฟต Phytobella ของแท้

ฉีดลดแก้ม สลายไขมันด้วยเมโสแฟตที่ V Square Clinic ดูแลโดยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ปรับรูปหน้ากว่า 15 ปี ประเมินปัญหาโดยหมอไม่ผ่านเซลส์ทุกเคส ใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้ นำเข้าถูกต้อง หมอแกะกล่องให้ดูต่อหน้า สามารถขอกล่องกลับบ้านได้เพื่อเช็กว่าเป็นของแท้หรือไม่เพื่อความสบายใจของคนไข้ โดยทางคลินิกจะไม่มีการขอเก็บไว้ครับ

ทีมแพทย์มากประสบการณ์ 5-10 ปี

รีวิว ฉีดแฟตแก้ม แก้ปัญหาแก้มใหญ่ แก้มเยอะ

รีวิวฉีดเมโสแฟตลดแก้ม แก้ปัญหาแก้มใหญ่ แก้มเยอะ ปรับหน้าเรียวจากเคสจริงของ V Square Clinic

รีวิวแฟตแก้มและโบท็อกกราม

รีวิวฉีดแฟตลดแก้ม ร่วมกับการฉีดโบท็อกลดกราม

รีวิวฉีด mesofatแก้ม

รีวิวฉีดแฟตแก้ม 3 ครั้ง ครั้งละ 12 cc

รีวิวฉีดแฟตแก้ม 12 cc

รีวิวฉีดแฟตแก้ม 3 ครั้ง ครั้งละ 12 cc

รีวิวฉีดแก้มสลายไขมัน โดย คุณเจสซี่

รีวิว Hifu 600 line โบท็อกซ์ 100 U เมโสแฟต 12 cc ฟิลเลอร์ใต้ตา 2 cc ฟิลเลอร์ปาก 1 cc

รีวิวแก้ไขปัญหา มีเหนียง มีแก้ม ทำให้หน้าบานด้วยการฉีดเมโสแฟตที่ V Square Clinic

สรุป

ฉีดแฟตแก้ม เป็นวิธีสลายไขมันเฉพาะจุดที่ได้รับความนิยมครับ มีความปลอดภัย เห็นผลเร็ว และราคาไม่สูงมาก เหมาะกับคนที่มีไขมันแก้มเยอะ ต้องการสลายไขมันแบบเร่งด่วน หรือออกกำลังกายแล้ว ควบคุมอาหารแล้วก็ยังไม่เห็นผล 

โดยการลดแก้มด้วยเมโสแฟตให้เห็นผลชัดเจน ควรเลือกฉีดกับคลินิกที่ได้มาตรฐานภายใต้การดูแลของแพทย์ที่มีประสบการณ์ สามารถประเมินปริมาณยาที่ใช้ได้เหมาะสมกับปัญหา และใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้เพื่อความปลอดภัยด้วยครับ


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ

หมอให้คำปรึกษา_หมอ29คน
ฉีดแฟตแขน 370X277

ฉีดแฟตแขน ลดแขนใหญ่ แขนย้วยได้จริงไหม ? กี่วันเห็นผล ?

Categories
mesofat
ฉีดแฟตแขน

ฉีดแฟตแขน

ใครที่มีปัญหาต้นแขนใหญ่ ลดยาก จะออกงานใส่เสื้อผ้าโชว์ต้นแขน แต่รู้สึกไม่มั่นใจ อยากลดต้นแขนให้เรียวเล็ก หมอแนะนำวิธีลดต้นแขนเร่งด่วน ด้วยการฉีดเมโสแฟตแขน หรือฉีดแฟตแขน ที่สามารถจะสลายไขมันส่วนเกินได้ตรงจุดครับ ฉีดแฟตแขนรีวิว เห็นผลจริงไหม ? ฉีดแฟตแขนราคาเท่าไร ? ฉีดเมโสแฟตกี่ครั้งถึงเห็นผล ? เปลี่ยนต้นแขนใหญ่ ต้นแขนย้วยให้เฟิร์มกระชับ เรียกคืนความมั่นใจกลับมา ไม่ต้องแต่งตัวพรางต้นแขนอีกต่อไป  

ฉีดเมโสแฟต คืออะไร ? ช่วยอะไร ? ฉีดจุดไหนได้บ้าง ?

สารบัญ ฉีดแฟตแขน 

  1. ฉีดแฟตแขน คืออะไร ?
  2. แขนใหญ่ แขนย้วย เกิดมาจากอะไร ? แก้ไขอย่างไร ?
  3. ฉีดแฟตแขนได้ผลจริงไหม ?
  4. ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดแฟตแขนมีอะไรบ้าง ?
  5. ฉีดแฟตแขนอันตรายไหม ?
  6. ฉีดแฟตแขนมีผลข้างเคียงไหม ?
  7. ฉีดแฟตแขนมีขั้นตอนการทำอย่างไร ?
  8. ฉีดแฟตแขนเจ็บไหม บวมกี่วัน ? 
  9. ฉีดแฟตแขนเหมาะกับใคร ?
  10. ฉีดแฟตแขนไม่เหมาะกับใคร ?
  11. ก่อนมาฉีดแฟตแขนควรเตรียมตัวอย่างไร ?
  12. หลังฉีดแฟตแขนควรดูแลตัวเองอย่างไร ?
  13. หลังฉีดแฟตแขนมีข้อห้ามอะไรบ้าง ?
  14. ฉีดแฟตแขนที่ไหนดี ?
  15. ฉีดแฟตแขน ใช้ยี่ห้อไหนดี ?
  16. ฉีดแฟตแขนใช้กี่ CC ?
  17. ฉีดแฟตแขน ราคาเท่าไร ?
  18. ฉีดแฟตแขน ฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล ?
  19. ฉีดแฟตแขน อยู่ได้กี่เดือน ?
  20. รีวิว ฉีดแฟตแขน

ฉีดแฟตแขน คืออะไร ?

ฉีดแฟตแขน คือ วิธีลดต้นแขนใหญ่ด้วยการฉีดเมโสแฟต (Meso Fat) หรือฉีดตัวยาที่ช่วยสลายไขมันส่วนเกินแบบเร่งด่วน ตัวยาเมโสแฟตมีหลายยี่ห้อครับ สารออกฤทธิ์หลักในตัวยาเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ในกลุ่มของ Artichoke extract (Cynara scolymus), Phosphatidylcholine, Deoxycholate, Dexpanthenol, L-carnitine, Amino acid หรือ Minerals ซึ่งเป็นสารสกัดจากถั่วเหลือง ไข่แดง และวิตามินอีกหลายชนิดที่ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมัน

หลังฉีดแฟตต้นแขน ตัวยาจะไปกระตุ้นการทำงานของกระบวนการ Metabolism เร่งการสลายไขมัน และดึงไขมันมาเป็นพลังงาน (Fat Burn) เมื่อไขมันส่วนเกินแตกตัว ต้นแขนที่ใหญ่ก็จะยุบลง เล็กลง เป็นตัวช่วยสำหรับคนต้องการลดไขมันและกระชับสัดส่วน แต่ไม่อยากผ่าตัดหรือดูดไขมันครับ 

กลไกการออกฤทธิ์ของเมโสแฟตลดต้นแขน
หลังฉีดแฟตลดต้นแขน ไขมันจะแตกตัว และถูกขับออกจากร่างกาย
ทำให้ปริมาณไขมันส่วนเกินลดลงเร็วขึ้น

แขนใหญ่ แขนย้วย เกิดมาจากอะไร ? แก้ไขอย่างไร ?

  • กรรมพันธุ์ ถ้าพ่อแม่มีรูปร่างอ้วน อาจจะส่งต่อไปยังลูกได้ แม้จะมีผลประมาณ 40-70% แต่ความอ้วนที่เกิดจากกรรมพันธุ์จะลดได้ค่อนข้างยาก 
  • เพศและอายุ ผู้ชายมีแนวโน้มเผาผลาญได้เร็วกว่าผู้หญิง เนื่องจากมีกล้ามเนื้อเยอะกว่า แต่เมื่ออายุมากขึ้นอัตราการเผาผลาญจะลดลง แต่ตามสถิติแล้วผู้ชายจะมีไขมันสะสมในช่องท้องมากกว่าผู้หญิง ส่วนผู้หญิงจะมีไขมันส่วนเกินบริเวณสะโพก ต้นขา ต้นแขนมากกว่า
  • การรับประทานอาหาร เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดไขมันสะสม หากรับประทานอาหารประเภทไขมัน คาร์โบไฮเดรต น้ำตาลมากเกินไป และเผาผลาญออกไม่หมด  
  • ละเลยการออกกำลังกาย คนที่ทำงานออฟฟิศ นั่งอยู่กับที่ ไม่ค่อยได้ขยับเขยื้อนร่างกาย บวกกับไม่ค่อยออกกำลังกายเผาผลาญแคลอรี ก็ทำให้เกิดไขมันส่วนเกินสะสมได้ 
  • กล้ามเนื้อต้นแขนใหญ่ คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ โดยเฉพาะการออกกำลังกายประเภทเวทเทรนนิ่ง (Weight Training) ที่ต้องออกกำลังแขนมาก ๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อต้นแขนใหญ่

ปัญหาต้นแขนใหญ่ แขนย้วย เกิดจากหลายสาเหตุ หมอจะต้องประเมินก่อนว่าต้นแขนใหญ่ของคนไข้ เกิดจากไขมันหรือกล้ามเนื้อมากกว่ากัน การฉีดสลายไขมันต้นแขน หรือฉีด fat แขน จะเหมาะกับคนที่ต้นแขนใหญ่จากไขมัน แต่ถ้าต้นแขนใหญ่จากกล้ามเนื้อร่วมด้วย ก็สามารถฉีดโบท็อกซ์ลดต้นแขนคู่กันได้ครับ เพื่อผลลัพธ์ที่รวดเร็วและชัดเจน 

หมอประเมินก่อนฉีด mesofatแขน โดยหมอบาส
ปรึกษาหมอก่อนฉีดแฟตแขน

ฉีดแฟตแขนได้ผลจริงไหม ?

ฉีดเมโสแฟตต้นแขน ได้ผลจริงครับ ถ้าดูตามกลไกการออกฤทธิ์ของเมโสแฟตต้นแขนที่หมอได้อธิบายไปข้างต้น ตัวยาเมโสแฟตจะไปสลายไขมันที่สะสมอยู่ในชั้นไขมันให้สลายตัว 10-15% ในครั้งแรกที่ทำ โดยไขมันที่สลายนี้จะถูกขับออกตามกลไกการขับของเสียตามธรรมชาติ เช่น ทางเหงื่อ ทางปัสสาวะและอุจจาระ 

ผลลัพธ์หลังฉีดแฟตแขนชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ประมาณ 5-7 วัน จะเริ่มเห็นว่าแขนเล็กลง เห็นผลเต็มที่ใน 2-3 สัปดาห์ แต่ถ้าคนไข้มีไขมันต้นแขนเยอะ ต้องการเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น หมอแนะนำให้ฉีดต่อเนื่อง 4-5 ครั้ง

ฉีดแฟตแขน สลายไขมัน
ผลลัพธ์หลังฉีดเมโสแฟตต้นแขน

ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดแฟตแขนมีอะไรบ้าง ?

ข้อดี ฉีดเมโสแฟต

  • สลายไขมันต้นแขนได้ตรงจุด ลดสัดส่วนเฉพาะจุด
  • ลดไขมันได้ 10-15% ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ  
  • เห็นผลเร็ว ผลลัพธ์ชัดเจนใน 2-3 สัปดาห์ อยู่ได้นาน 2-3 เดือน 
  • การเตรียมตัวไม่ยุ่งยาก ขั้นตอนการทำไม่นาน  
  • ไม่มีรอยแผล หลังทำไม่ต้องพักฟื้น ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ 
  • ราคาไม่แพง คุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์และระยะเวลาเห็นผล

ข้อเสีย ฉีดเมโสแฟต 

  • หากปริมาณไขมันส่วนเกินบริเวณต้นแขนเยอะ ต้องฉีดซ้ำหลายครั้ง
  • ผลลัพธ์อยู่ไม่ถาวร สามารถฉีดซ้ำได้ หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้น  

ฉีดแฟตแขนอันตรายไหม ?

การฉีดเมโสแฟตแขน เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัย ตัวยาที่ใช้เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ สลายได้เอง ที่เป็นอันตรายส่วนมากจะเกิดจากฉีดตัวยาเมโสแฟตของปลอม เช่น สเตียรอยด์ หรือยาสลายฟิลเลอร์ 

ยกตัวอย่างการฉีดสเตียรอยด์ เป็นตัวยาที่ใช้สำหรับฉีดสิว ฉีดคีลอยด์ ซึ่งจะใช้ในปริมาณที่น้อย และต้องฉีดโดยแพทย์ผิวหนังถึงจะปลอดภัย แต่ที่เป็นอันตรายเพราะมีการนำสเตียรอยด์มาใช้ผิดวิธี และใช้ในปริมาณที่มาก หลังฉีดสเตียรอยด์จะไปสลายคอลลาเจน ทำให้เนื้อยุบครับ ไม่ใช่เป็นการสลายไขมัน และอาจเกิดการอักเสบ บวม และติดเชื้อตามมาได้   

ส่วนตัวยาสลายฟิลเลอร์ หรือไฮยาลูโรนิเดส  (Hyaluronidase) เป็นตัวยาที่ใช้สำหรับฉีดสลายฟิลเลอร์ แต่ถูกนำมาใช้ผิดวิธี หรือซื้อจากช่องทางออนไลน์ซึ่งมีราคาถูก หลังฉีดตัวยาจะเข้าไปสลายคอลลาเจน ทำให้เนื้อยุบ ไม่ใช่การสลายไขมันเช่นกัน ผลเสียคือทำให้ผิวเสื่อมสภาพ ต้นแขนย้วยและหย่อนคล้อยตามมา

ฉีดเมโสแฟต อันตรายไหม ?

ฉีดแฟตแขนมีผลข้างเคียงไหม ?

ผลข้างเคียงหลังฉีดแฟต หมอแยกออกเป็น 2 กรณี คือ 

  • ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นเป็นปกติ ไม่อันตราย เช่น อาการบวมจากตัวยาเมโสแฟต หายได้เองใน 3-4 ชั่วโมง และอาการบวมช้ำจากรอยเข็ม โดยเฉพาะคนที่มีผิวบอบบาง ผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin) แต่ถ้าฉีดแฟตแขนกับแพทย์ที่ประสบการณ์ มือเบา รู้เทคนิคการฉีด ก็ช่วยอาการบวมช้ำได้  
  • ผลข้างเคียงที่ผิดปกติ เป็นอันตราย เช่น อาการแพ้ อักเสบ ติดเชื้อ หากใช้ตัวยาเมโสแฟตที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้ฉีดโดยแพทย์ 

ฉีดแฟตแขนมีขั้นตอนการทำอย่างไร ?

  • ปรึกษาแพทย์ แจ้งปัญหา ความต้องการ รวมถึงแจ้งการแพ้ยาและโรคประจำตัว
  • หมอแนะนำยี่ห้อเมโสแฟตแขนที่เหมาะสมกับคนไข้ ผลลัพธ์และราคา
  • ทำความสะอาดจุดฉีดเมโสแฟตบริเวณต้นแขน ท้องแขน 
  • ประคบน้ำแข็งในจุดที่จะฉีด เพื่อลดความเจ็บจากเข็ม
  • แพทย์จะค่อย ๆ ดันตัวยาเมโสแฟตเข้าไปจนหมด
  • หลังฉีดหมอแนะนำวิธีการดูแลตัวเอง คนไข้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ 

ฉีดแฟตแขนเจ็บไหม บวมกี่วัน ?

การฉีดเมโสแฟตต้นแขน หมอจะฉีดตัวยาลงในชั้นผิวลึกประมาณ 5-10 mm อาจจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยตอนฉีดยาหรือตอนกำลังเดินยาเท่านั้นครับ ซึ่งจะมีการประคบน้ำแข็งช่วย หรือแปะยาชาสำหรับคนที่กลัวเจ็บมาก ๆ ส่วนอาการบวมหลังฉีดแฟตแขน จะบวมเล็กน้อยจากตัวยาเมโสแฟตที่ฉีดเข้าไป เป็นอาการปกติ ยุบบวมได้เอง ประมาณ 3-4 ชั่วโมงก็หายครับ  


ฉีดแฟตแขนเหมาะกับใคร ?

  • คนที่ออกกำลังกายหรือคุมอาหารแล้วไขมันบริเวณต้นแขนไม่ลด
  • คนที่มีไขมันส่วนเกินสะสมบริเวณต้นแขน อยากสลายไขมันเฉพาะจุดแบบเร่งด่วน 
  • คนที่ไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากเจ็บตัว ไม่อยากดูดไขมัน
  • คนที่ไม่มีเวลาพักฟื้น ไม่อยากยุ่งยากในการดูแลตัวเองหลังทำ
  • คนที่ต้องออกงาน ใส่เสื้อผ้าที่ต้องโชว์ช่วงแขน ช่วงไหล่ เช่น สวมชุดเจ้าสาว ชุดไทย 

ฉีดแฟตแขนไม่เหมาะกับใคร ?

การฉีดแฟตต้นแขน รวมทั้งฉีดแฟตในจุดอื่น ๆ เช่น แฟตแก้ม แฟตเหนียง แฟตพุง แฟตต้นขา มีข้อห้ามในคนบางกลุ่ม เช่น

  • ผู้ที่อายุยังน้อยกว่า 18 ปี
  • สตรีมีครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างให้นมบุตร
  • ผู้ที่ใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เส้นเลือดสมองตีบหรืออุดตัน
  • ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ผู้ที่อยู่ในระหว่างการรักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจ มีการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ มีการรักษาด้วยยาหลายชนิด

เพื่อความปลอดภัย ก่อนฉีดแฟตแขนควรปรึกษาแพทย์และเปิดเผยข้อมูลสุขภาพให้แพทย์ทราบก่อนครับ


ก่อนมาฉีดแฟตแขนควรเตรียมตัวอย่างไร ?

  • ปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินปัญหา จุดที่ต้องการฉีดเมโสแฟตแขน 
  • แจ้งข้อมูล เช่น ประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว และยาที่รับประทานเป็นประจำ 
  • งดยาในกลุ่มของ แอสไพริน, NSAIDs และ Dipyridamole 48 ชั่วโมง
  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเมโสแฟตต้นแขน ตัวยาที่ใช้ แพทย์ผู้ฉีด คลินิกที่ให้บริการ การเตรียมตัวก่อน-หลัง ดูรีวิวฉีดแฟตแขน ราคาฉีดแฟตแขน เพื่อความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าคุ้มราคา

หลังฉีดแฟตแขนควรดูแลตัวเองอย่างไร ?

หลังฉีดเมโสแฟตต้นแขน
วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสแฟตต้นแขน
  • ดื่มน้ำเยอะ ๆ เพราะจะช่วยให้ไขมันถูกขับออกจากร่างกายได้มากขึ้น
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อลดปริมาณไขมันในร่างกายให้เร็วขึ้น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง จะช่วยให้ระบบการเผาผลาญทำงานได้มีประสิทธิภาพ
  • ควบคุมการรับประทานอาหาร ลดของทอด ของมัน อาหารไขมันสูง ไม่ให้เกิดไขมันสะสมเพิ่ม
  • เลี่ยงอาหารเค็ม น้ำอัดลม เพื่อลดอาการบวม   

หลังฉีดแฟตแขนมีข้อห้ามอะไรบ้าง ?

  • ห้ามกดนวดบริเวณที่ฉีดเมโสแฟตต้นแขน 
  • ห้ามซาวน่าและสครับผิว ความร้อนอาจทำให้เกิดอาการบวมและช้ำได้มากขึ้น
  • ห้ามสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อลดอาการบวมช้ำ 

ฉีดแฟตแขนที่ไหนดี ?

ก่อนตัดสินใจฉีดเมโสแฟตแขนที่ไหนดี ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ต้องมั่นใจว่าคลินิกที่เข้ารับการบริการเป็นคลินิกที่ได้มาตรฐาน ดูแลโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อลดความเสี่ยงเจอยาเมโสแฟตของปลอมที่เป็นอันตราย 

ฉีดเมโสแฟตต้นแขนที่ V Square Clinic 

  • ฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์กว่า 15 ปี 
  • ตัวยาเมโสแฟตได้มาตรฐาน นำเข้าอย่างถูกต้อง ปลอดภัย
  • มีให้เลือกหลายยี่ห้อ เพื่อให้แพทย์เลือกใช้แก้ปัญหาอย่างตรงจุด
  • ราคาไม่แพง ผลลัพธ์คุ้มค่า มีทั้งแบบรายครั้งและรายคอร์ส

ฉีดแฟตแขน ใช้ยี่ห้อไหนดี ?

ฉีดแฟต (Fat) ยี่ห้อไหนดี ? 

ตัวยาแฟตแขนมีหลายยี่ห้อ มีจุดเด่นและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ก่อนทำแพทย์จะประเมินปัญหา และแนะนำ mesofatต้นแขน ยี่ห้อที่เหมาะสมกับแต่ละคนครับ

ฉีดแฟตแขนยี่ห้อ BABI Neo One
เมโสแฟตต้นแขนยี่ห้อ BABI Neo One
  • เมโสแฟตต้นแขน ยี่ห้อ  BABI Neo One ช่วยสลายไขมันพร้อมกับยกกระชับ หลังทำไม่มีอาการบวมแดง แสบน้อยที่สุดในยี่ห้อแฟตทั้งหมด
ฉีดแฟตลดต้นแขนยี่ห้อ FNC
เมโสแฟตต้นแขนยี่ห้อ FNC
  • เมโสแฟตต้นแขน ยี่ห้อ  FNC เหมาะสำหรับคนที่ไขมันเยอะ ยุบดี ยุบไว ตอนทำจะรู้สึกแสบปานกลาง
เมโสแฟตลดต้นแขนยี่ห้อ Neobella
เมโสแฟตต้นแขนยี่ห้อ Neobella
  • เมโสแฟตต้นแขน ยี่ห้อ Neobella เหมาะฉีดในจุดที่มีไขมันสะสมมาก เช่น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง 

ฉีดแฟตแขนใช้กี่ CC ?

ฉีดเมโสแฟตต้นแขน ข้างละ 20-40 CC โดยปริมาณที่ใช้ หมอจะแนะนำเป็นรายเคส เพราะไขมันของแต่ละคนไม่เท่ากัน ฉีดแฟตต้นแขนจะใช้ปริมาณเยอะกว่าฉีดหน้า ลดแก้ม ลดเหนียง เนื่องจากต้นแขนเป็นจุดที่มีไขมันส่วนเกินสะสมค่อนข้างมาก และบริเวณที่ฉีดกว้างกว่าครับ  


ฉีดแฟตแขน ราคาเท่าไร ?

ฉีดเมโสแฟตต้นแขนราคา
ราคาฉีดเมโสแฟตต้นแขน

เมโสแฟตแขน สูตร Neobella

  • 20 cc ราคา 5,000.-
  • 40 cc ราคา 9,000.-
  • คอร์ส 100 cc ราคา 20,000.-

เมโสแฟตแขน สูตร FNC / BABI 

  • 30 cc ราคา 9,900.- 
  • 60 cc ราคา 18,000.- 
  • 90 cc ราคา 25,000.- 

ทั้งนี้ ขึ้นกับขนาดไขมัน (20 CC / พื้นที่ 1 ฝ่ามือ / ครั้ง)


ฉีดแฟตแขน ฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล ?

ฉีดแฟตแขนเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ไขมันลดลง 10-15% ถ้าคนไข้อยากเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้น ต้นแขนลดลงอีก สามารถฉีดซ้ำได้ครับ ขึ้นอยู่กับความต้องการ แต่ถ้าคนไข้ที่มีไขมันต้นแขนเยอะ แล้วคาดหวังว่าฉีดแล้วลดเร็ว ลงเร็ว ก็อาจจะไม่ได้ขนาดนั้นครับ หมอแนะนำให้ฉีดต่อเนื่อง 4-5 ครั้งครับถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน  


ฉีดแฟตแขน อยู่ได้กี่เดือน ?

Mesofatต้นแขน อยู่ได้นาน 2-3 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันเดิมของคนไข้ และการดูแลตัวเองหลังทำ รวมทั้งการรับประทานอาหารที่จะไม่เพิ่มการสะสมของไขมันและการออกกำลังกายร่วมด้วยครับ 


รีวิว ฉีดแฟตแขน

ฉีดแฟตแขนรีวิว
ฉีดแฟตแขนรีวิว
ฉีดแฟตแขนรีวิว
ฉีดแฟตแขนรีวิว

สรุป

การฉีดเมโสแฟตต้นแขน เป็นวิธีช่วยสลายไขมันส่วนเกิน เฉพาะจุด ที่ได้รับความนิยม เพราะช่วยลดไขมันได้เร็ว แต่ต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และใช้ตัวยาที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน หลังฉีดสามารถสลายไขมันได้ 10-15% ตั้งแต่ครั้งแรก ฉีดซ้ำได้หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ 

แต่ถ้าคนไข้กลัวเข็มไม่อยากฉีด อยากได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและถาวรกว่านี้ หมอจะแนะนำให้ทำ Coolsculping สลายไขมันด้วยความเย็น สามารถสลายไขมันได้ 25% เห็นผลเต็มที่ใน 3 เดือน หรือถ้ารู้สึกว่าแขนย้วย หย่อนคล้อย ไม่กระชับ ก็สามารถใช้เครื่องยกกระชับ เช่น Hifu Ultraformer III, Ulthera SPT, Thermage FLX กระตุ้นคอลลาเจนให้ต้นแขนเฟิร์มกระชับได้ 

ที่ V Square Clinic หมอประเมินและให้คำแนะนำเป็นรายเคส เพื่อผลลัพธ์ในการลดต้นแขนใหญ่ที่ตรงจุดผลลัพธ์ชัดเจน คุ้มค่ากับงบประมาณครับ   


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ

หมอให้คำปรึกษา_หมอ29คน
เมโสแฟตสลายไขมันคืออะไร370x277

เมโสแฟต คืออะไร ? ช่วยลดไขมันได้อย่างไร อันตรายไหม ?

Categories
mesofat
เมโสแฟตสลายไขมันคืออะไร

ฉีดเมโสแฟต

เมโสแฟต เป็นหนึ่งในหัตถการยอดนิยมในคนที่มีเหนียง หน้าบาน มีไขมันสะสมเยอะตัดสินใจเลือกทำเพื่อปรับหน้าเรียวและดูกระชับขึ้นครับ เพราะตัวยาที่นำมาฉีดมีส่วนช่วยในการสลายไขมัน ลดสัดส่วนได้อย่างเห็นผลโดยไม่ต้องดูดไขมัน ไม่ต้องเจ็บตัว ที่สำคัญคือเห็นผลเร็ว ช่วยลดไขมันส่วนเกินในบริเวณที่ลดได้ยากถึง 10-15% ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก จึงมีความสะดวกและคุ้มค่ากว่าวิธีอื่น ๆ ครับ

ใครที่สนใจหัตถการฉีด mesofat หมอมีข้อมูลมาแนะนำครับ เมโสแฟต คืออะไร ? เหมาะกับใคร ? ฉีดแฟตมีกี่แบบ ? ข้อดี-ข้อเสียของเมโสแฟตมีอะไรบ้าง ? ฉีดแฟตราคาเท่าไหร่ ? ฉีดเมโสแฟตหน้าบวมมาก เกิดจากอะไร ปกติไหม ? ฉีดเมโสแฟตไม่เห็นผล เกิดจากอะไร ? สามารถศึกษาข้อมูลในบทความนี้เพื่อใช้ประกอบการตัดสินได้ครับ 

ฉีดเมโสแฟต
ฉีดเมโสแฟต (Meso Fat) คืออะไร ? ช่วยอะไร ? ฉีดจุดไหนได้บ้าง ? l หมอ V Square แชร์หมดเปลือก

สารบัญ ฉีดเมโสแฟต

  1. เมโสแฟต คืออะไร ?
  2. ไขมันส่วนเกิน เกิดมาจากอะไร ?
  3. ฉีดเมโสแฟตดีไหม ?
  4. เมโสแฟตช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?
  5. เมโสแฟตมีกี่แบบ อะไรบ้าง ?
  6. เมโสแฟต สามารถทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ?
  7. ข้อดี-ข้อเสียของเมโสแฟตมีอะไรบ้าง ?
  8. ฉีดเมโสแฟต VS การสลายไขมันแบบอื่น
  9. ฉีดเมโสแฟต ทำร่วมกับการสลายไขมันแบบอื่นได้ไหม ให้ผลลัพธ์เหมือนกันไหม ?
  10. ฉีดเมโสแฟตอันตรายไหม ?
  11. ฉีดเมโสแฟตมีความเสี่ยง หรือผลข้างเคียงไหม ?
  12. เมโสแฟตมีขั้นตอนการฉีดอย่างไร ?
  13. เมโสแฟต สลายไขมันได้อย่างไร ?
  14. ฉีดเมโสแฟตเจ็บไหม ?
  15. ฉีดเมโสแฟตหน้าบวมกี่วัน ?
  16. เมโสแฟตเหมาะกับใคร ?
  17. ฉีดเมโสแฟตไม่เหมาะกับใคร ?
  18. ข้อปฏิบัติก่อนมาฉีดเมโสแฟต
  19. ข้อปฏิบัติหลังฉีดเมโสแฟต
  20. แนวทางดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสแฟต เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น 
  21. ฉีดเมโสแฟต ใช้ยี่ห้อไหนดี ?
  22. เมโสแฟต ของแท้ ดูอย่างไร ?
  23. เมโสแฟต1ขวดมีกี่ CC ?
  24. ฉีดเมโสแฟตใช้กี่ CC ?
  25. ฉีดเมโสแฟตกี่วันถึงจะเห็นผล ?
  26. เมโสแฟต ฉีดได้บ่อยแค่ไหน ?
  27. ฉีดเมโสแฟต อยู่ได้กี่เดือน ?
  28. เมโสแฟต ฉีดด้วยตัวเองได้ไหม ?
  29. เมโสแฟต ฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล ?
  30. ฉีดเมโสแฟต ราคาเท่าไร ?
  31. ฉีดเมโสแฟตที่ไหนดี ?
  32. ฉีดเมโสแฟตแล้วไม่เห็นผล เกิดจากอะไร แก้อย่างไร ?
  33. รีวิว ฉีดเมโสแฟต

เมโสแฟต คืออะไร ?

เมโสแฟต คืออะไร

เมโสแฟต คือ วิธีสลายไขมันส่วนเกิน กระชับสัดส่วนด้วยการฉีดตัวยาที่มีฤทธิ์สลายไขมันเข้าไปในผิวชั้นไขมัน เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้น รวมถึงกระตุ้นให้เซลล์ไขมันให้เกิดการแตกตัว และถูกขับออกจากร่างกายผ่านการหายใจและระบบขับถ่าย หลังฉีดเมโสแฟตไประยะหนึ่งจึงจะสังเกตเห็นว่าบริเวณที่ฉีดเมโสแฟตจึงจะดูกระชับขึ้น สัดส่วนเล็กลงจากชั้นไขมันที่หายไปครับ

การฉีดเมโสแฟต เป็นวิธีลดสัดส่วนเฉพาะจุด ช่วยสลายไขมันในชั้นไขมันเท่านั้น 
ไม่มีผลต่อไขมันในช่องท้อง และไม่ใช่วิธีลดน้ำหนักแต่อย่างใด


ไขมันส่วนเกินเกิดมาจากอะไร ?

ไขมันส่วนเกินเกิดมาจากอะไร

ไขมันส่วนเกิน เกิดจากร่างกายได้รับพลังงานเกินกว่าที่ร่างกายควรได้รับต่อวันครับ หลัก ๆ ก็มาจากการรับประทานอาหารนั่นเอง โดยเฉพาะอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และไขมัน เมื่อเราได้รับพลังงานเกินในแต่ละวันจะส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถดึงพลังงานไปใช้ได้หมด พลังงานและสารอาหารเหล่านั้นจะเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นพลังงานสำรอง นานวันเข้าไขมันมีปริมาณเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นไขมันส่วนเกินนั่นเองครับ 

นอกจากนี้ไขมันส่วนเกินยังเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น

  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต คนที่ไม่ออกกำลังกาย เคลื่อนไหวร่างกายน้อยเกินไป มีโอกาสที่จะเกิดไขมันส่วนเกินได้ง่าย เพราะใช้พลังงานน้อย ร่างกายเผาผลาญไขมันไม่หมด แม้ว่าจะรับประทานอาหารที่ไม่ได้มีไขมันสูง หรือเป็นคนที่มีรูปร่างร่างผอมอยู่แล้ว แต่หากมีพฤติกรรมเหล่านี้ก็ทำให้เกิดไขมันส่วนเกินได้ครับ
  • พันธุกรรม  หากคนในครอบครัวเคยมีประวัติเป็นโรคอ้วนก็จะทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้มีไขมันส่วนเกินได้ง่ายกว่าคนปกติ
  • การรับประทานยาบางชนิด  ยาบางชนิดอาจมีผลต่อการเกิดไขมันส่วนเกิน เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาควบคุมระดับฮอร์โมนบางชนิด

ปัญหาไขมันส่วนเกิน หากต้องการลดให้ได้ผลดีและยั่งยืน ควรเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย ลดการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงความเครียด นอนหลับให้เพียงพอ รวมถึงตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เพื่อประเมินความเสี่ยงว่ามีไขมันส่วนเกินหรือไม่ หากสงสัยว่าตัวเองเข้าข่าย แพทย์จะช่วยวางแผนการรักษาและหาวิธีป้องกันร่วมกันครับ


ฉีดเมโสแฟตดีไหม ?

ไขมันส่วนเกินเกิดมาจากอะไร

สำหรับคนที่มีไขมันส่วนเกินในจุดที่ลดได้ยาก เช่น เหนียง หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา แม้จะออกกำลังกายและคุมอาหารก็ยากที่จะลดหรือลดน้อยมาก การฉีดเมโสแฟตถือเป็นตัวช่วยที่ดีครับ ช่วยสลายไขมันส่วนเกินและลดเซลลูไลท์ได้อย่างตรงจุด สัดส่วนดูเล็กลงโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องดูดไขมัน ตัวยาไม่มีผลกระทบต่อร่างกาย หลังฉีดไขมันจะเริ่มสลาย 10-15% ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ไม่ต้องพักฟื้น มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก จึงมีความสะดวกและคุ้มค่ากว่าวิธีอื่น ๆ 


เมโสแฟตช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

  • ฉีดเมโสแฟตช่วยลดแก้ม ลดเหนียง ลดไขมันส่วนเกินในบริเวณที่ลดได้ยาก ปรับรูปหน้าเรียว กรอบหน้าชัดขึ้น
  • ช่วยลดไขมันสะสมตามร่างกาย ลดเซลลูไลท์ เช่น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง สะโพก รักแร้ ปีกหลัง
  • ช่วยกระตุ้นการสร้างเอนไซม์ ทำให้ร่างกายนำไขมันไปใช้มากขึ้น ลดการสร้างและลดสะสมไขมันใหม่
  • ช่วยยกกระชับจุดที่ลดไขมันให้ดูยกกระชับขึ้น

เมโสแฟตมีกี่แบบ อะไรบ้าง ?

เมโสแฟตสามารถพบได้ 3 แบบครับ แต่ที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย และคลินิกชั้นนำส่วนใหญ่เลือกใช้จะเป็นตัวยาที่สกัดมาจากธรรมชาติ ส่วนอีก 2 ประเภทจะเป็นยาสลายฟิลเลอร์ (hyaluronidase) และ ยาสเตียรอยด์ที่มีขายตามอินเทอร์เน็ต คลินิกบางแห่งแอบลักลอบนำมาใช้เพื่อลดต้นทุน ซึ่งไม่ปลอดภัย ฉีดแล้วมีผลข้างเคียง หมอจะอธิบายเมโสแฟตแต่ละประเภทเพื่อให้คนไข้เข้าใจง่าย ๆ ดังนี้ครับ 

1. เมโสแฟตที่สกัดมาจากธรรมชาติ 

ฉีดเมโสแฟตยี่ห้อไหนดี
ตัวอย่างยี่ห้อเมโสแฟตที่ปลอดภัย และได้รับความนิยม

เมโสแฟตที่สกัดมาจากธรรมชาติ เป็นตัวยาที่ปลอดภัย ไม่มีผลกระทบต่อร่างกาย จึงได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีหลายยี่ห้อครับ แต่ละยี่ห้อก็จะมีส่วนประกอบที่แตกต่างกัน แต่สารออกฤทธิ์หลักในตัวยาเมโสแฟตจะต้องเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการสลายไขมันในเซลล์หรือทำให้เซลล์ไขมันแตกตัวได้ เช่น

  • Artichoke extract (Cynara scolymus) ทำหน้าที่กระตุ้นการสังเคราะห์ coenzyme ในกระบวนการ anabolism ลดเนื้อเยื่อไขมัน ลดการสังเคราะห์กรดไขมัน เหมาะกับคนที่น้ำหนักตัวเกิน ต้องการลดไขมันเฉพาะจุด ฉีดลดแก้ม หรือต้องการลดเซลลูไลท์
  • Mesostabyl (Polyunsaturated phosphatidylcholine) ทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ lipase, ลดการสร้าง triglyceride ยับยั้งการสร้าง cholesterol ในเนื้อเยื่อ
  • L-carnitine ทำให้ร่างกายดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้น เปลี่ยนไขมันเป็นพลังงาน (fat burn)
  • Amino acid หรือ Minerals และวิตามินอีกหลายชนิด ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมัน สัดส่วนกระชับ ดูเล็กลงโดยไม่ทำให้ผิวย้วย หรือผิวเป็นคลื่น

2. ยาสลายฟิลเลอร์ (hyaluronidase)

ยาสลายฟิลเลอร์ (hyaluronidase)

ยาสลายฟิลเลอร์ (hyaluronidase) เป็นสารที่ใช้สำหรับฉีดสลายฟิลเลอร์ได้อย่างปลอดภัย แต่บางคลินิกนำมาใช้ผิดวิธี โดยการแอบนำมาฉีดให้คนไข้เพื่อลดต้นทุน ซึ่งถ้าฉีดในปริมาณมาก ๆ จะทำให้คอลลาเจนในผิวถูกย่อยสลายออกไป ทำให้เนื้อยุบลงอย่างรวดเร็ว และหากฉีดหลาย ๆ ครั้งนาติดต่อกันจะทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย ผิวหย่อนลง เนื่องจากคอลลาเจนเสื่อมลงครับ

3. ยาสเตียรอยด์

ยาสเตียรอยด์

ยาสเตียรอยด์ ฉีดแล้วจะทำให้ผิวยุบลงได้เหมือนกันครับ แต่ปกติแพทย์ผิวหนังจะใช้เพื่อฉีดสิว ฉีดคีลอยด์ ซึ่งถ้าใช้ในปริมาณที่น้อยภายใต้การควบคุมจะปลอดภัย แต่บางคลินิกแอบนำมาใช้ผิดวิธีโดยฉีดแทนตัวยาเมโสแฟต เพราะต้นทุนต่ำ ฉีดแล้วเห็นผลไว แต่เมื่อฉีดหลาย ๆ ครั้งจะทำให้หน้าบวมกว่าเดิม และเสี่ยงต่อการอักเสบติดเชื้อง่ายขึ้น เนื่องจากกดภูมิคุ้มกันของร่างกายครับ

หากคนไข้ท่านใดที่อยากฉีดสลายไขมันอย่างปลอดภัย หมอแนะนำให้เลือกฉีดกับคลินิกที่ใช้ตัวยาเมโสแฟตของแท้ ได้มาตรฐาน ก็คือเมโสแฟตที่สกัดมาจากธรรมชาติ ส่วน 2 ตัวหลังอย่างยาสลายฟิลเลอร์ และยาสเตียรอยด์ หมอไม่แนะนำให้ฉีดเด็ดขาดครับ รวมถึงกรณีซื้อเมโสแฟตที่ขายตามอินเทอร์เน็ตมาฉีดเองและฉีดกับหมอกระเป๋าด้วย ในช่วงแรกหลังฉีดอาจเห็นผลดี แต่พอนาน ๆ ไปจะส่งผลข้างเคียงตามมา ได้ไม่คุ้มเสียครับ 

สำหรับใครที่กลัวว่าจะหลงไปฉีดเมโสแฟตปลอมโดยไม่รู้ตัว ในบทความนี้หมอได้เขียนถึงวิธีดูเมโสแฟตแท้ไว้ด้วย คนไข้สามารถติดตามอ่านได้ครับ 

Vsquare tips

ข้อควรรู้ : หมอกระเป๋าจะไม่สามารถซื้อยาเมโสแฟตของแท้เองได้ เพราะมีกฎหมายยาควบคุม ดังนั้นยาที่หมอกระเป๋าใช้จึงสามารถการันตีได้เลยว่าเป็นเมโสแฟตปลอมหรือเป็นยาหิ้วที่มีส่วนผสมที่อันตราย และไม่สะอาด จึงทำให้มีการอักเสบติดเชื้อหลายเคสจากตัวยาที่ไม่ปลอดภัยและวิธีการฉีดที่ไม่สะอาด ดังที่ อย. ออกมาเตือนครับ


เมโสแฟต สามารถทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

เมโสแฟต สามารถทำตำแหน่งไหนได้บ้าง

เมโสแฟต สามารถฉีดสลายไขมันได้หลายจุดครับ สำหรับจุดที่นิยมฉีดได้แก่

  • ฉีดเมโสแฟตแก้ม เป็นตำแหน่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดครับ เหมาะกับคนที่มีไขมันสะสมบริเวณแก้มเยอะ ทำให้หน้าดูกลม สังเกตจากเมื่อเรากัดฟันแล้วคลำบริเวณแก้มดู จะจับได้เป็นเนื้อนิ่ม ๆ 
  • ฉีดเมโสแฟตเหนียง เหมาะกับคนที่มีคางสองชั้น มีเหนียงใต้คาง มีกรอบหน้าไม่ชัด
  • ฉีดเมโสแฟตหน้าท้อง เหมาะกับคนที่มีไขมันสะสมบริเวณพุง มีพุงหมาน้อย แม้ออกกำลังกาย หรือควบคุมอาหารแล้วแต่หน้าท้องไม่ลด
  • ฉีดเมโสแฟตต้นแขน เหมาะกับคนที่มีแขนย้วย มีไขมันส่วนเกินบริเวณต้นแขนเยอะ มีเซลลูไลท์ผิวเป็นคลื่น หรือมีผิวเปลือกส้ม
  • ฉีดเมโสแฟตต้นขา เหมาะกับคนที่มีไขมันสะสมบริเวณต้นขาเยอะ ขาใหญ่ ไม่กระชับ มีเซลลูไลท์ ผิวเป็นคลื่น หรือมีผิวเปลือกส้ม

ข้อดี-ข้อเสียของเมโสแฟตมีอะไรบ้าง ?

ฉีดเมโสแฟต ข้อดี 

  • เห็นผลเร็ว ช่วยลดไขมันส่วนเกินในบริเวณที่ลดได้ยาก เหมาะกับคนที่ออกกำลังกาย ควบคุมอาหารแล้วแต่ไขมันยังไม่ลดหรือลดน้อย
  • สามารถลดไขมันได้ครั้งละ 10-15% หากต้องการเห็นผลที่ชัดเจนขึ้น สามารถทำซ้ำได้
  • เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัย ใช้เวลาในการทำน้อย ทำเสร็จกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องพักฟื้น
  • การเตรียมตัวก่อนทำไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ
  • ทำได้หลายตำแหน่งตามจุดที่มีไขมันสะสม ไม่ส่งผลกระทบต่อเส้นเลือด เส้นประสาท และเนื้อเยื่อสำคัญ
  • ไม่มีรอยแผล ไม่มีรอยผ่าตัด ไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
  • ราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับการผ่าตัดหรือดูดไขมัน

ฉีดเมโสแฟต ข้อเสีย

  • ไม่สามารถเห็นผลได้ทันทีเหมือนการดูดไขมัน ต้องอาศัยระยะเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลลัพธ์ของตัวยาที่ฉีดเข้าไป
  • หลังฉีดเมโสแฟตอาจมีอาการบวมจากปริมาณตัวยาที่ฉีดเข้าไป แต่สามารถยุบบวมเองใน 3-4 ชั่วโมง 
  • ไม่เหมาะกับคนที่มีปริมาณไขมันมาก ๆ อาจต้องฉีดประมาณ 4-5 ครั้ง จึงจะเห็นผลที่ชัดเจน ทั้งนี้ควรให้แพทย์ประเมินว่าปริมาณไขมันในจุดนั้นเหมาะกับการฉีดเมโสแฟตหรือไม่
  • ตัวยา Meso fat หลายตัวยังไม่ได้ผ่าน อย.ไทย และยังไม่มีงานวิจัยใด ๆ รับรองว่าสารเหล่านั้นสามารถสลายไขมันในร่างกายได้จริง เพื่อความปลอดภัยควรเลือกคลินิกฉีดเมโสแฟตที่ได้มาตรฐาน ฉีดเมโสแฟตของแท้เท่านั้น

ฉีดเมโสแฟต VS การสลายไขมันแบบอื่น

ในหัวข้อนี้หมอจะเขียนเปรียบเทียบในด้านผลลัพธ์ ราคา ระยะเวลาเห็นผล และความคุ้มค่า ระหว่างฉีดเมโสแฟต VS การสลายไขมันด้วยเครื่องยกกระชับ VS การสลายไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting ซึ่งจะมีรายละเอียดดังนี้ครับ

ฉีดเมโสแฟตสลายไขมัน

ฉีดเมโสแฟตสลายไขมัน เป็นการฉีดตัวยาที่ช่วยสลายไขมันลงในชั้นไขมัน เพื่อกระตุ้นการสังเคราะห์ coenzyme ในกระบวนการ anabolism และทำให้ร่างกายเปลี่ยนไขมันเป็นพลังงาน ไขมันเกิดการแตกตัว หรือสลายตัว หลังจากนั้นไขมันจะถูกขับออกทางระบบขับถ่าย ทำให้ไขมันบริเวณที่ฉีดลดลง เป็นวิธีลดไขมันและลดเซลลูไลท์เฉพาะจุดโดยไม่ต้องผ่าตัด ช่วยลดและกระชับสัดส่วนให้ได้รูปตามต้องการ

 เหมาะกับคนที่ต้องการสลายไขมันเฉพาะจุด ลดแก้ม ลดเหนียง ปรับหน้าเรียววีเชฟ แต่ไม่อยากเจ็บตัว ไม่มีเวลาพักฟื้น ไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากดูดไขมัน และไม่ได้มีไขมันสะสมเยอะมากจนเกินไป โดยหลังฉีดไขมันจะสลายตัว 10-15% ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และจะเห็นผลชัดเจนใน 2-3 สัปดาห์ครับ

เครื่องยกกระชับ Ultraformer III และ Ulthera สลายไขมัน

เครื่องยกกระชับ Ultraformer III และ Ulthera สลายไขมัน

Ultraformer III และ Ulthera เป็นเครื่องยกกระชับ สลายไขมันด้วยการใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ยิงพลังงานลงไปใต้ชั้นผิวแต่ละชั้น (ลงลึกได้ถึงผิวชั้น smas ชั้นเดียวกับที่ใช้ผ่าตัดดึงหน้า) เพื่อให้ผิวเกิดการหดตัว คล้าย ๆ กับการเย็บเนื้อผ่าตัดดึงหน้า 

Ultraformer III และ Ulthera จะเด่นเรื่องยกกระชับ ปรับหน้าเรียว ลดแก้ม ลดเหนียง และกระชับสัดส่วนตามร่างกาย เช่น หน้าท้อง สะโพก เอว ต้นแขน ต้นขา รวมถึงช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ลดริ้วรอยทั่วใบหน้า เหมาะกับคนที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อย มีริ้วรอยและไขมันเล็กน้อย-ปานกลาง หลังทำเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันทีประมาณ 20% เห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน อยู่ได้นาน 5-6 เดือน 

เครื่องยกกระชับ Thermage สลายไขมัน

เครื่องยกกระชับ Thermage สลายไขมัน

Thermage เป็นเครื่องยกกระชับ สลายไขมันด้วยการใช้พลังงานความร้อนจากคลื่นวิทยุ (Monopolar RF)  ยิงลงไปในชั้นผิวหนัง เพื่อให้ผิวแต่ละชั้นเกิดการหดตัว คุณสมบัติพลังความร้อนที่ยิงลงไป สามารถลงลึกครอบคลุมได้ถึง 3 ระดับชั้นผิว ได้แก่ ชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ และชั้นไขมัน จึงทำให้เทอร์มาจเด่นทั้งด้านกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และสลายไขมัน ลดเหนียง ลดแก้มห้อยได้ควบคู่กัน

Thermage จะเหมาะกับคนที่มีไขมันบริเวณใบหน้าค่อนข้างเยอะ มีเหนียงใต้คาง มีคางสองชั้น ต้องการยกกระชับหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก กรอบหน้าชัดขึ้น หลังทำไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีแผล สามารถล้างหน้า ทาครีม แต่งหน้า ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เห็นผลทันทีประมาณ 20% เห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน ทำ 1 ครั้ง เห็นผลนาน 1-2 ปี  

coolsculpting สลายไขมันด้วยความเย็น 

coolsculpting สลายไขมันด้วยความเย็น

coolsculpting  คือ เทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็น โดยเครื่อง coolsculpting จะทำงานโดยส่งความเย็นในระดับจุดเยือกแข็ง -11 องศาลงไปใต้ชั้นผิวหนัง เข้าสู่ชั้นไขมัน ทำให้ไขมันตายและถูกขับออกมาจากร่างกายตามธรรมชาติ ทำให้รูปร่างกระชับ ได้สัดส่วนมากขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องฉีด ไม่ทำให้เกิดรอยแผล และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น หลังทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติครับ

การทำ CoolSculpting มีงานวิจัยทางการแพทย์ประมาณ 50 งานวิจัย ที่ยืนยันผลการรักษาของเครื่องว่าสามารถลดจำนวนเซลล์ไขมันในชั้นผิวหนังบริเวณที่ทำให้ตายลงแบบถาวร โดยสามารถลดเซลล์ไขมันลงได้ 25% ต่อการทำ 1 ครั้ง ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก จะมีอาการบวมในจุดที่ทำไขมันตายและค้างอยู่ และใน 3-4 สัปดาห์ จะเริ่มเห็นว่าสัดส่วนเล็กลง กระชับขึ้น โดยจะใช้เวลา 3 เดือน ถึงจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่ครับ

สรุปฉีดเมโสแฟต VS การสลายไขมันแบบอื่น เลือกวิธีไหนดี ? แนะนำให้คนไข้เข้ารับการประเมินปัญหา และขอคำปรึกษาจากแพทย์ ในการเลือกวิธีสลายไขมันที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งหมอจะประเมินเป็นรายเคสครับ


ฉีดเมโสแฟต ทำร่วมกับการสลายไขมันแบบอื่นได้ไหม ให้ผลลัพธ์เหมือนกันไหม ?

การฉีดเมโสแฟต สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ครับ เช่น ฉีดโบท็อกด้วยเทคนิคโบท็อกลิฟกรอบหน้า      (ช่วยเรื่องยกกระชับกรอบหน้า ไม่ใช่การสลายไขมัน) ตัวยาจะออกฤทธิ์ต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ โดยจะฉีดบริเวณกรอบหน้า และใต้คาง เพื่อให้แรงของกล้ามเนื้อที่ดึงแก้มน้อยลง ใบหน้าจะได้ยกกระชับขึ้นมา สามารถทำร่วมกับการฉีดเมโสแฟตได้เช่นกันครับ

หากต้องการสลายไขมันและกระชับผิวไปด้วย สามารถฉีดเมโสแฟตร่วมกับการใช้เครื่องมือยกกระชับ อย่าง HifuI/Ulthera/Thermage ได้ครับ โดยหมอจะแนะนำให้ทำเครื่องยกกระชับก่อน แล้วเว้นสัก 1 เดือนค่อยฉีดเมโสแฟต ก็จะทำให้เห็นผลเร็วขึ้น เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนครับ

ส่วนบริเวณต้นขา ต้นแขน สะโพก หากมีไขมันสะสมเยอะมาก ๆ ถ้าฉีดเมโสแฟตจะไม่คุ้มครับ แนะนำให้ทำ CoolSculpting (สำหรับคนที่ไม่อยากผ่าตัด) จะเห็นผลดีกว่า ช่วยสลายไขมันบริเวณต้นแขน ต้นขา ทำให้สัดส่วนเล็กลงได้ เห็นผลแน่นอนและคงผลลัพธ์ได้นาน เป็นการสลายไขมันด้วยความเย็น เซลล์ไขมันจะตายและลดจำนวนลงแบบถาวรครับ แต่จะมีราคาสูงกว่าเมโสแฟต


ฉีดเมโสแฟตอันตรายไหม ?

 เมโสแฟตอันตรายไหม ? ฉีดแล้วหน้าบวมแก้อย่างไร ? l หมอ V Square แชร์หมดเปลือก

การฉีดเมโสแฟต เป็นหัตถการที่ไม่อันตรายครับ ที่อันตรายส่วนมากจะมาจากตัวยาที่ฉีดไม่ใช่ตัวยาเมโสแฟตแท้ และไม่ได้ฉีดโดยแพทย์ ซึ่งตัวยาที่ไม่ใช่เมโสแฟตที่แอบลักลอบนำมาฉีด พบได้ 2 ตัวหลัก ๆ คือ สเตียรอยด์และยาสลายฟิลเลอร์ที่หมอเคยอธิบายไปแล้วในหัวข้อข้างต้นครับ


ฉีดเมโสแฟตมีความเสี่ยง หรือผลข้างเคียงไหม ?

การฉีดเมโสแฟต หากอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้ตัวยาของแท้ จะมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยมากครับ ในบางเคสหลังฉีดอาจมีอาการบวม และรอยแดงหรือรอยช้ำจากเข็มเพียงเล็กน้อย  ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่สามารถเกิดขึ้นได้ปกติ อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น ยุบบวมลงใน 3-4 ชั่วโมง


เมโสแฟตมีขั้นตอนการฉีดอย่างไร ?

เมโสแฟตมีขั้นตอนการฉีดอย่างไร หมอแอม
  • คนไข้เข้าปรึกษาแพทย์ แจ้งปัญหา ความต้องการ รวมถึงแจ้งประวัติการแพ้ยา และโรคประจำตัว 
  • หมอจะแนะนำยี่ห้อเมโสแฟตที่เหมาะสมกับคนไข้ ทั้งในด้านผลลัพธ์การรักษาและราคาที่เหมาะสม
  • ก่อนฉีดจะมีการทำความสะอาดผิวในจุดที่ต้องการฉีด
  • มีการประคบน้ำแข็งในจุดที่ฉีด เพื่อลดความเจ็บจากเข็ม
  • หมอจะค่อย ๆ ดันตัวยาเข้าไปบริเวณที่ต้องการลดไขมัน 

เมโสแฟต สลายไขมันได้อย่างไร ?

เมโสแฟต สลายไขมันได้อย่างไร

ตัวยาเมโสแฟต (Meso Fat) เมื่อนำมาฉีดเข้าสู่ชั้นผิวที่มีไขมันสะสม ตัวยาจะไปกระตุ้นระบบการทำงานของ metabolism ที่เป็นกลไกเร่งการสลายไขมันตามธรรมชาติของร่างกาย และ L-carnitine ทำให้ร่างกายดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้น ไขมันจะแตกตัวและกระตุ้นให้ไขมันที่สะสมอยู่ถูกปล่อยออกมาในรูปของไขมันเหลว ซึ่งจะถูกขับออกมาตามกลไกการขับของเสียตามธรรมชาติ โดยจะปนมากับเหงื่อ ปัสสาวะและอุจจาระครับ

นอกจากนี้ตัวยาเมโสแฟตยังมีสารออกฤทธิ์ อย่าง Artichoke extract (Cynara scolymus) ที่ทำหน้าที่กระตุ้นการสังเคราะห์ coenzyme ในกระบวนการ anabolism สามารถช่วยลดเนื้อเยื่อไขมัน ลดการสังเคราะห์กรดไขมัน และ Mesostabyl (Polyunsaturated phosphatidylcholine) ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ lipase, ลดการสร้าง triglyceride ยับยั้งการสร้าง cholesterol ในเนื้อเยื่อได้อีกด้วย


ฉีดเมโสแฟตเจ็บไหม ?

ฉีดเมโสแฟต ไม่เจ็บครับ คนไข้จะรู้สึกแสบจากตัวยาเล็กน้อยตอนที่หมอใช้เข็มดันตัวยาเข้าสู่ชั้นผิว ใครที่กลัวเจ็บมาก ๆ ก่อนฉีดทางคลินิกจะมีการแปะยาชา และประคบน้ำแข็งเพื่อช่วยลดความเจ็บครับ 


ฉีดเมโสแฟตหน้าบวมกี่วัน ?

หลังฉีดเมโสแฟต ไม่ว่ายี่ห้อไหนก็จะมีอาการบวมเป็นปกติครับ เกิดจากการทำงานของตัวยา Meso Fat จะทำปฏิกิริยาให้ไขมันแตกตัว ส่งผลทำให้เกิดอาการบวมแต่จะบวมในช่วงแรกเท่านั้น หลังฉีดตัวยาจะซึมยุบไปเองใน 3-4 ชั่วโมง ดังนั้นคนไข้ไม่ต้องกังวล ในบางเคสอาจจะมีอาการบวมเข็มได้เล็กน้อยเป็นปกติครับ แนะนำให้เลี่ยงการกดหรือนวดในบริเวณที่ฉีด เพื่อลดอาการบวมและป้องกันการอักเสบ 


เมโสแฟตเหมาะกับใคร ?

  • คนที่มีไขมันสะสมบริเวณเหนียงเยอะ มีคางสองชั้น ต้องการลดเหนียง เพิ่มกรอบหน้าชัดอย่างชัดเจนและรวดเร็ว
  • คนที่ต้องการปรับรูปหน้า ลดสัดส่วนโดยไม่ต้องผ่าตัด ดูดไขมัน 
  • คนที่ต้องการฉีดลดไขมันด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ 100% ปลอดภัย ซึ่งช่วยให้ไขมันแตกตัว ผ่านกระบวนการเผาผลาญ และขับออกพร้อมกับของเสียจากร่างกาย เช่น ปัสสาวะ อุจจาระ
  • คนที่ออกกำลังกายหรือควบคุมอาหารแล้วแต่สัดส่วนยังไม่ลด 
  • คนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป 

ฉีดเมโสแฟตไม่เหมาะกับใคร ?

  • คนที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี
  • สตรีมีครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
  • คนที่ใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด
  • คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เส้นเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน
  • คนไข้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • คนที่อยู่ในระหว่างการรักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจ มีการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ
  • คนที่เป็นโรคเบาหวาน ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ มีการรักษาด้วยยาหลายชนิด

ข้อปฏิบัติก่อนมาฉีดเมโสแฟต

  • ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดเมโสแฟตอย่างละเอียด ทั้งกระบวนการ ขั้นตอนการปฏิบัติตัวก่อนและหลังฉีด เลือกคลินิก เลือกหมอ เพื่อความปลอดภัยและให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • ก่อนฉีดเมโสแฟต 48 ชั่วโมง ควรงดยาในกลุ่มของ แอสไพริน, NSAIDs และ Dipyridamol 
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ก่อนฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  • คนไข้ต้องเข้าปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ตรวจประเมินใบหน้าและจุดที่ต้องการฉีด แจ้งประวัติการแพ้ยา และโรคประจำตัว

ข้อปฏิบัติหลังฉีดเมโสแฟต

  • งดทาครีมบริเวณรอยเข็ม 1 คืน หากเกิดรอยแดง รอยช้ำจากเข็มในบริเวณที่ฉีดให้ประคบเย็นก่อนใน 48 ชั่วโมงแรก 
  • สามารถล้างหน้าและแต่งหน้าได้ตามปกติ
  • หลีกเลี่ยงการนวด อบซาวน่า งดการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์หรือการทำทรีตเมนท์ต่าง ๆ หลังทำเมโสแฟตเพื่อลดอาการบวมฟกช้ำให้น้อยลง
  • เลี่ยงทำกิจกรรมที่รบกวนผิวหน้า เช่น การนวด กด สครับหน้า ถูหน้าแรง ๆ รวมไปถึงการว่ายน้ำ เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในบริเวณที่ฉีด
  • หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า นวดหน้า นวดตัว หรือทำเลเซอร์อย่างน้อย 1 สัปดาห์

แนวทางดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสแฟต เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น 

แนวทางดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสแฟต
  • ควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย อย่าน้อย 1.5-2 ลิตร เพราะน้ำจะช่วยให้ไขมันถูกขับออกจากร่างกายได้มากขึ้น
  • หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกำจัดไขมันออกจากร่างกายให้เร็วขึ้น และลดการสะสมของไขมันใหม่ เช่น การเดินเร็ว หรือแอโรบิค อย่างน้อยวันละ 30-45 นาที อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง
  • พักผ่อนให้เพียงพอ 
  • ลด ละ เลิกการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ของหวาน น้ำอัดลม ของทอด รวมถึงอาหารที่มีโซเดียมสูง 

ฉีดเมโสแฟต ใช้ยี่ห้อไหนดี ?

อัปเดต 2023 เมโสแฟต (Fat) ยี่ห้อไหนดี แต่ละยี่ห้อต่างกันอย่างไร ? l หมอ V Square แชร์หมดเปลือก

ปัจจุบันเมโสแฟตมีหลายยี่ห้อ หลัก ๆ จะผลิตในประเทศเกาหลี และเนื่องจากแต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนฉีดเมโสแฟตควรปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ประเมินจุดที่ต้องการฉีดและแนะนำยี่ห้อที่เหมาะสม ฉีดแล้วได้ผลดี เหมาะกับคนไข้แต่ละเคสมากที่สุด โดยสูตรที่ได้รับความนิยมในไทย และเห็นผลไว เช่น

1. เมโสแฟตยี่ห้อ Phytobella

เมโสแฟตยี่ห้อ Phytobella

เมโสแฟตยี่ห้อ Phytobella ตัวยามีสารสกัดจากธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัย สามารถใช้ฉีดเพื่อสลายไขมันได้หลายตำแหน่ง เช่น ฉีดลดเหนียงใต้คาง แก้ม ต้นแขน ต้นขา สะโพก และช่วยในการยกกระชับผิว ลดอาการบวมน้ำหลังฉีด

ข้อดี : ฉีดแล้วยุบดี ไม่บวมแดง ไม่ทำให้ผิวหย่อนคล้อยครับ

ข้อควรระวัง : ขณะฉีดจะรู้สึกแสบเล็กน้อย

2. เมโสแฟตยี่ห้อ BABI Neo One

เมโสแฟตยี่ห้อ BABI Neo One

เมโสแฟตยี่ห้อ BABI Neo One  เหมาะกับคนไข้ที่มีปัญหาแก้มหย่อน สามารถสลายไขมันพร้อมยกกระชับ เริ่มเห็นผลลัพธ์ได้ใน 3 วัน นิยมฉีดลดเหนียงใต้คาง

ข้อดี : ช่วยสลายไขมันพร้อมยกกระชับ ฉีดแล้วยุบดี หลังฉีดไม่มีอาการบวมแดง

ข้อควรระวัง : ขณะฉีดมีอาการแสบ (แต่จะแสบน้อยที่สุดในบรรดายี่ห้อเมโสแฟตทั้งหมด)

3. เมโสแฟตยี่ห้อ FNC

เมโสแฟตยี่ห้อ FNC

เมโสแฟตยี่ห้อ FNC 30 เหมาะกับคนที่มีไขมันแก้มเยอะ ช่วยยกกระชับหน้า ปรับสมดุลต่อมน้ำเหลือง หมอจะทำการฉีดตัวยาเข้าไปในชั้นใต้ผิวหนัง เพื่อสลายเซลล์ไขมันให้แตกตัวและขจัดการสะสมของชั้นไขมัน ทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเกิดการยุบตัว ช่วยลดไขมันได้ดี และเห็นผลไวโดยที่ไม่ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยหลังไขมันลดครับ

ข้อดี : ยุบดี เหมาะสำหรับคนที่มีแก้มเยอะ

ข้อควรระวัง : ขณะฉีดจะรู้สึกแสบกลางๆ

4.เมโสแฟตยี่ห้อ Neobella

เมโสแฟตยี่ห้อ Neobella

เมโสแฟตยี่ห้อ Neobella นำเข้าจากประเทศเกาหลี ส่วนผสมหลักของตัวยาเป็น Deoxycholic acid (DCA) ซึ่งเป็นยาในกลุ่มยาสลายไขมันตัวเดียวที่ได้รับการรับรองจาก US-FDA ใช้หลักการทำลายเซลล์ไขมันแบบ Adipocyte-Cytolysis คือสลายเซลล์ไขมันได้โดยตรง ในขณะที่ตัวยาอื่น ๆ ใช้หลักการดึงไขมันออกจากเซลล์ เหมาะกับการฉีดในจุดที่มีไขมันสะสมจำนวนมาก เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา ครับ

ข้อดี : สลายเซลล์ไขมันได้โดยตรง เหมาะกับการลดไขมันบริเวณลำตัว หน้าท้อง แขน ขา

ข้อควรระวัง : ขณะฉีดจะรู้สึกแสบกลาง ๆ

การเลือกฉีดเมโสแฟต ยี่ห้อไหนดี  นอกจากจะคำนึงถึงการเลือกยี่ห้อแล้ว เรื่องความปลอดภัยก็ถือว่ามีความสำคัญเช่นกันครับ ควรเลือกหมอที่มีประสบการณ์ และใช้ผลิตภัณฑ์แท้ ก่อนฉีดควรให้แพทย์แกะกล่อง เปิดขวดยาให้ดูต่อหน้า และนำขวดกลับบ้านเพื่อเอาไปสืบค้นได้ว่าผลิตภัณฑ์เป็นของแท้จริงหรือไม่ครับ 


เมโสแฟต ของแท้ ดูอย่างไร ?

ก่อนฉีดเมโสแฟต คนไข้สามารถเช็กวิธีดูเมโสแฟตของแท้แต่ละยี่ห้อ โดยสังเกตได้จาก

วิธีดูเมโสแฟต ของแท้ ยี่ห้อ Phytobella

วิธีดูเมโสแท้-Phytobella-4-ช่อง
  • มีเลข Lot และเลข EXP ตรงกันที่ก้นขวดและกล่อง
  • มี QR Code ของบริษัทที่สามารถสแกนเพื่อดูรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ได้ข้างกล่อง
  • มี Barcode ให้สแกน เพื่อตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้ที่ข้างกล่อง
  • ฝาของขวด Phytobella ต้องเป็นสีทองแดงเท่านั้น

วิธีดูเมโสแฟต ของแท้ ยี่ห้อ FNC

วิธีดูเมโสแท้-FNC-4-ช่อง
  • มีสติกเกอร์ FNC30 ติดอยู่บริเวณฝากล่อง 1 ด้าน
  • มี QR Code ของบริษัทที่สามารถสแกนเพื่อดูรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ได้ หลังกล่อง
  • มีเลข Lot และเลข EXP ตรงกันที่ก้นขวดและหลังกล่อง
  • ฝาของขวด FNC30 ต้องเป็นสีเทาเท่านั้น

วิธีดูเมโสแฟต ของแท้ ยี่ห้อ BABI Neo One

วิธีดูเมโสแท้-Babi-4-ช่อง
  • มีสติกเกอร์โฮโลแกรม Edencolors ติดอยู่บริเวณฝากล่องทั้ง 2 ข้าง และหลังกล่อง
  • มี QR Code ของบริษัทอยู่บนกล่องและขวด เพื่อให้สแกนบน App Hidden Tag
  • มีสกรีนคำว่า BABI อยู่บริเวณข้างฝาขวด 
  • ฝาขวดต้องเป็นสีเทาเท่านั้น

เมโสแฟต1ขวดมีกี่ CC ?

เมโสแฟต1ขวดมีกี่ CC _หมอเมย์

เมโสแฟตยี่ห้อมาตรฐานส่วนใหญ่ 1 ขวดจะบรรจุตัวยา 10 CC ครับ ก่อนนำมาใช้ไม่จำเป็นต้องผสมน้ำเกลือ ส่วนปริมาณที่แนะนำให้ฉีดในแต่ละครั้ง หมอจะเป็นผู้ประเมินตามปริมาณไขมันของแต่ละคนครับ


ฉีดเมโสแฟตใช้กี่ CC ?

ปริมาณการใช้เมโสแฟตแต่ละคนจะใช้จำนวน CC ไม่เท่ากันครับ ขึ้นอยู่ตำแหน่งที่ฉีดและปริมาณไขมันของแต่ละบุคคล หมอจะเป็นผู้ประเมินและแนะนำยี่ห้อที่เหมาะสมให้ครับ โดยปริมาณยาเมโสแฟตที่ใช้ในแต่ละตำแหน่ง จะใช้จำนวน CC ดังต่อไปนี้

  • ฉีดเมโสแฟตแก้ม โดยทั่วไปจะใช้ครั้งละ 6 CC ขึ้นไป (ข้างละ 3 cc ขึ้นไป) เหมาะกับผู้ที่มีไขมันบริเวณแก้มไม่มาก  แต่ถ้ามีไขมันสะสมเยอะ แก้มเยอะ หรือมีเวลามาทำไม่บ่อย สามารถฉีดครั้งนึงหลาย CC ได้เลยครับ ในบางเคสอาจใช้ถึง 24 CC ต่อการฉีด 1 ครั้ง
  • ฉีดเมโสแฟตเหนียง โดยทั่วไปจะใช้ครั้งละ 10 CC+ 
  • ฉีดเมโสแฟตต้นแขน โดยทั่วไปใช้ข้างละ 20-40 CC
  • ฉีดเมโสแฟตต้นขา โดยทั่วไปใช้ข้างละ 40 CC+
  • ฉีดเมโสแฟตหน้าท้อง/สะโพก โดยทั่วไปใช้ 40-80 CC

จำนวน CC ในเบื้องต้นเป็นการประมาณคร่าว ๆ จากเคสคนไข้ส่วนใหญ่ที่เข้ามาใช้บริการครับ ในการฉีดแต่ละครั้ง หมอจะประเมินจากสัดส่วนจริงของคนไข้ก่อนเสมอ ว่าควรใช้กี่ CC ถึงจะเห็นผลครับ 


ฉีดเมโสแฟตกี่วันถึงจะเห็นผล ?

หลังฉีดเมโสแฟต จะเห็นผลว่าบริเวณที่ฉีดเริ่มยุบลงภายในระยะเวลา 5-7 วัน หลังจากนั้น 2-3 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่ ไขมันลดลงประมาณ 10-15% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันของแต่ละบุคคล รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตร่วมด้วยครับ


เมโสแฟต ฉีดได้บ่อยแค่ไหน ?

ในกรณีที่อยากเห็นผลลัพธ์ชัดเจนมากขึ้น คนไข้สามารถกลับมาฉีดซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์ที่ประเมินครับ โดยเฉพาะเคสที่มีไขมันมาก อาจฉีด 4-5 ครั้ง เพื่อให้เห็นผลชัดและอยู่ได้นานขึ้นครับ


ฉีดเมโสแฟต อยู่ได้กี่เดือน ?

ฉีดเมโสแฟตปกติแล้วผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 2-3 เดือน แต่ถ้าดูแลตัวเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หลีกเลี่ยงของทอด ของมัน ก็จะช่วยรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้น


เมโสแฟต ฉีดด้วยตัวเองได้ไหม ?

เนื่องจากการฉีดเมโสแฟตเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมสูงขึ้น คนไข้บางกลุ่มจึงซื้อเมโสแฟตจากอินเทอร์ เน็ตมาฉีดเอง เพราะหาซื้อง่ายและมีราคาถูก วิธีนี้หมอไม่แนะนำเด็ดขาดครับ เพราะมีความเสี่ยงหลายด้านมาก ทั้งเสี่ยงโดนหลอกขายเมโสแฟตปลอม เสี่ยงเจอหมอกระเป๋า ที่สำคัญเลยคือเสี่ยงติดเชื้อระหว่างฉีดเนื่องจากห้องหัตถการไม่สะอาด เมื่อฉีดเข้าไปทำให้มีการอักเสบติดเชื้อหรือเกิดผลข้างเคียงได้

ทางที่ดีควรฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน และขอดูยี่ห้อเมโสแฟตก่อนฉีดทุกครั้ง เพื่อจะได้มั่นใจว่าเป็นยาแท้ สามารถตรวจสอบแหล่งผลิต และบริษัทผู้นำเข้าได้อย่างชัดเจนครับ


เมโสแฟต ฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล ?

การฉีดเมโสแฟต คนไข้สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกครับ ไขมันจะเริ่มสลายตัวประมาณ 10-15% และเริ่มเห็นผลว่า แก้ม เหนียง ยุบลงใน 5-7 วัน เห็นผลเต็มที่ 2-3 สัปดาห์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันของแต่ละบุคคลด้วย รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน หากฉีดแล้วยังไม่ควบคุมพฤติกรรมการกิน อาจทำให้ไม่เห็นผลได้อย่างเต็มที่


ฉีดเมโสแฟต ราคาเท่าไร ?

ฉีดเมโสแฟต ราคาเท่าไร

การฉีดเมโสแฟตราคาไม่แพงครับ เริ่มต้นที่หลักพันต้น ๆ ขึ้นอยู่กับปริมาณและยี่ห้อที่เลือกใช้ สำหรับโปรโมชั่นเมโสแฟต เมโสแฟต พรีเมียม ราคาพิเศษ ที่ V Square Clinic จะมีราคาดังนี้ครับ

ฉีดเมโสแฟต ราคา(1)
ฉีดเมโสแฟต ราคา
ฉีดเมโสแฟต ราคา

ส่วนคนไข้จะเหมาะกับสูตรไหน ใช้กี่ CC นั้น หมอจะประเมินสภาพใบหน้าก่อนฉีดทุกครั้ง รวมทั้งสอบถามปัญหาที่คนไข้กังวล และให้คำแนะนำเกี่ยวกับสูตรเมโสตัวที่เหมาะกับคนไข้มากที่สุด เพื่อความคุ้มค่าและสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด


ฉีดเมโสแฟตที่ไหนดี ?

ฉีดเมโสแฟตที่ไหนดี

สำหรับคนที่กำลังมองหาว่าควรเลือกฉีดเมโสแฟตที่ไหนดี หมอมีคำแนะนำวิธีเลือกคลินิกดังนี้ครับ

  • คลินิกเปิดให้บริการอย่างถูกต้อง มีชื่อคลินิกชัดเจนและเลขที่ใบอนุญาตของผู้ประกอบการ มาตรฐานตามกระทรวงสาธารณสุขติดไว้ในที่เห็นได้ รวมถึงคลินิกนั้นต้องมีป้ายรายชื่อผู้ประกอบวิชาชีพในคลินิกติดไว้ในที่เปิดเผย
  • ปลอดภัย ใช้ผลิตภัณฑ์ตัวยาเมโสแฟตที่ได้มาตรฐาน สามารถขอดูยี่ห้อเมโสแฟตก่อนฉีดได้ครับ เพื่อจะได้มั่นใจว่าส่วนผสมไม่มีอันตราย และสามารถตรวจสอบแหล่งผลิต บริษัทผู้นำเข้าได้ชัดเจน ไม่เสี่ยงต่อยาหิ้วยาปลอมที่อันตรายครับ
  • ควรทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น แนะนำว่าควรเป็นแพทย์ FullTime ประจำคลินิก เพราะหมอประจำคลินิกย่อมต้องพยายามรักษาชื่อเสียงคลินิก และมักมีรีวิวเก่า ๆ ของคลินิกนั้น ๆ

ฉีดเมโสแฟตแล้วไม่เห็นผล เกิดจากอะไร แก้อย่างไร ?

มีคนไข้หลายคนที่ฉีดเมโสแฟตไม่เห็นผลการเปลี่ยนแปลง ในกรณีนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยครับ เช่น

  • หมอเลือกยี่ห้อและคำนวณปริมาณตัวยาฉีดที่ไม่เหมาะสมกับปัญหาและปริมาณไขมัน
  • ใช้ตัวยาเมโสแฟตที่ไม่ได้มาตรฐาน ฉีดเมโสแฟตปลอม ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลข้างเคียงตามมา เพราะตัวยาอาจมีสารประกอบอันตรายต่อผิวหนัง
  • การปฏิบัติหลังฉีดของคนไข้ หากไม่ลดเลี่ยงอาหารไขมันสูง ดื่มน้ำน้อย ก็ยังทำให้มีปริมาณไขมันสะสมอยู่อย่างต่อเนื่อง โอกาสที่ไขมันจะลดลงก็มีน้อยครับ

ดังนั้นหากต้องการฉีดเมโสแฟตแล้วเห็นผล ก่อนฉีดควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อจะได้เลือกยี่ห้อและคำนวณตัวยาได้ถูกต้อง ทำกับคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ รวมถึงดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสแฟตร่วมด้วย ก็จะช่วยให้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ


รีวิว ฉีดเมโสแฟต

รีวิว ฉีดเมโสแฟต ที่ V Square Clinic เจสซี่
รีวิว ฉีดเมโสแฟต ที่ V Square Clinic
รีวิว ฉีดเมโสแฟต ที่ V Square Clinic(1)
รีวิว ฉีดเมโสแฟต ที่ V Square Clinic
รีวิว ฉีดเมโสแฟต ที่ V Square Clinic(2)
รีวิว ฉีดเมโสแฟต ที่ V Square Clinic
รีวิว ฉีดเมโสแฟต ที่ V Square Clinic(1)
รีวิว ฉีดเมโสแฟต ที่ V Square Clinic
รีวิว ฉีดเมโสแฟต ที่ V Square Clinic
รีวิว ฉีดเมโสแฟต ที่ V Square Clinic

รีวิว ฉีดเมโสแฟต ที่ V Square Clinic


สรุป

สำหรับใครพยายามควบคุมอาหารและออกกำลังกาย แต่ยังมีไขมันส่วนเกินบางจุดที่ลดไม่ลง ลดไขมันได้ยาก การฉีดเมโสแฟตเป็นตัวช่วยที่ดีครับ มีขั้นตอนการทำที่ไม่ยุ่งยาก เหมาะกับคนที่อยากสลายไขมันเฉพาะจุด ลดแก้ม ลดเหนียง ปรับหน้าเรียว แต่ไม่มีเวลาพักฟื้น ไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากดูดไขมัน และไม่ได้มีไขมันสะสมเยอะมากจนเกินไป 

แต่ก่อนที่จะตัดสินใจฉีดเมโสแฟต ควรศึกษาตัวยาเมโสแฟตแต่ละยี่ห้อ วิธีตรวจสอบเมโสแฟตของแท้ และควรเข้าปรึกษาแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง เพื่อตรวจประเมินเลือกยี่ห้อและปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละเคสครับ


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ

หมอให้คำปรึกษา_หมอ29คน
เมโสแฟตเหนียง

เมโสแฟตเหนียง สลายไขมันใต้คางได้โดยไม่ต้องเสียเหงื่อ

Categories
mesofat

เมโสแฟตเหนียง 

เหนียง (Turkey Neck) ไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ใต้คอ ทำให้มองเห็นเป็นคางสองชั้น สามารถกำจัดออกได้ด้วย “เมโสแฟตเหนียง” ครับ

ฉีดเมโสแฟตเหนียง ดีอย่างไร ? ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินใต้คางได้อย่างไร ? แฟตเหนียงมีตัวยายี่ห้อไหนบ้าง ?  แต่ละยี่ห้อต่างกันไหม ? ใครที่มีปัญหาหน้ากลม เหนียงเยอะ อยากกำจัดออกห้ามพลาดครับ เพราะในบทความนี้ หมอได้รวบรวมสาระน่ารู้สำคัญ ๆ มาไว้ให้แล้ว คนไข้สามารถศึกษาทำความเข้าใจ ก่อนตัดสินเข้าคลินิกที่ใช่ได้เลยครับ  

สารบัญ เมโสแฟตเหนียง 

  1. เมโสแฟตเหนียง คืออะไร ?
  2. เหนียงเกิดมาจากอะไร ?
  3. วิธีลดเหนียงมีอะไรบ้าง ?
  4. ฉีดเมโสแฟตเหนียงดีไหม ?
  5. ข้อดี-ข้อเสียของเมโสแฟตเหนียงมีอะไรบ้าง ?
  6. ฉีดเมโสแฟตเหนียง VS การลดเหนียงแบบอื่น
  7. ฉีดเมโสแฟตเหนียงอันตรายไหม ?
  8. ฉีดเมโสแฟตเหนียงมีผลข้างเคียงไหม ?
  9. เมโสแฟตเหนียงมีขั้นตอนการฉีดอย่างไร ?
  10. ฉีดเมโสแฟตเหนียงเจ็บไหม บวมกี่วัน ?
  11. เมโสแฟตเหนียงเหมาะกับใคร ?
  12. ฉีดเมโสแฟตเหนียงไม่เหมาะกับใคร ?
  13. วิธีเตรียมตัวก่อนมาฉีดเมโสแฟตเหนียง
  14. หลังฉีดเมโสแฟตเหนียงควรดูแลตัวเองอย่างไร ?
  15. ฉีดเมโสแฟตเหนียง ใช้ยี่ห้อไหนดี ?
  16. ฉีดเมโสแฟตเหนียงใช้กี่ CC ?
  17. เมโสแฟตเหนียง ฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล ?
  18. ฉีดเมโสแฟตเหนียง อยู่ได้กี่เดือน ?
  19. เมโสแฟตเหนียง ราคาเท่าไร ?
  20. ฉีดเมโสแฟตเหนียงที่ไหนดี ?
  21.  รีวิวฉีดเมโสแฟตเหนียง

เมโสแฟตเหนียง คืออะไร ? 

เมโสแฟตเหนียง คือ การฉีดตัวยาเมโสเข้าไปบริเวณเหนียง หรือบริเวณใต้คอที่มีการสะสมของไขมัน เพื่อเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายเปลี่ยนไขมันเป็นพลังงาน ลดการสังเคราะห์กรดไขมัน ทำให้ไขมันลดลง เหนียงจึงเล็กลงครับ

แฟตเหนียงสลายไขมันใต้คอ

ตัวยาเมโสแฟตที่เข้าไปสลายไขมันเหนียงมีอะไรบ้าง ? ตัวยาเมโสแฟตจะมีสารออกฤทธิ์หลัก ๆ คือ 

  • Artichoke extract (Cynara scolymus) : ทำหน้าที่กระตุ้นการสังเคราะห์ Coenzyme ในกระบวนการ Anabolism ลดเนื้อเยื่อไขมัน ลดการสังเคราะห์กรดไขมัน และระดับไขมันแบบเฉพาะจุดได้
  • Mesostabyl (Polyunsaturated phosphatidylcholine) : ทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Lipase ลดการสร้าง Triglyceride ยับยั้งการสร้าง Cholesterol ในเนื้อเยื่อ 
  • L-carnitine : ทำให้ร่างกายดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้น เปลี่ยนไขมันเป็นพลังงาน รวมถึงช่วยสลายไขมันส่วนเกินใต้ผิว 
  • Tyrosine : ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมันในร่างกาย

หลังจากฉีดตัวยาเมโสแฟตไปยังเหนียง หรือบริเวณที่ไม่มันส่วนเกินสะสมอยู่ ไขมันบริเวณนั้นจะเริ่มแตกตัว และสลายตัวครับ จากนั้นจะค่อย ๆ ถูกขับออก ตามกลไกการขับของเสียตามธรรมชาติของร่างกายเรา เช่น ขับออกปะปนมากับ เหงื่อ ปัสสาวะและอุจจาระ  

ฉีดเมโสแฟตลดเหนียง

หากต้องการกำจัดไขมันใต้คาง ลดเหนียง การฉีดแฟตลดเหนียง ถือเป็นวิธีที่สะดวกสบาย สามารถสลายไขมันและขับออกจากร่างกายแบบถาวร ไม่มีผลกระทบกับร่างกาย ช่วยในเรื่องของการไหลเวียนของเลือดและระบบต่อมน้ำเหลือง ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณรอบ ๆ แข็งแรงและกระชับขึ้น  

แต่ก็ต้องระมัดระวังด้วยเช่นกัน เพราะถ้าตัวยาเมโสแฟตที่ฉีดไม่สะอาด ไม่ได้มาตรฐาน หรือฉีดในปริมาณที่ไม่เหมาะสม ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ จึงเป็นสิ่งที่หมออยากเน้นย้ำว่าควรฉีดเมโสแฟตเหนียงในคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ตัวยาแท้ และต้องฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้นครับ


เหนียงเกิดมาจากอะไร ? 

เหนียง คือ เนื้อหรือไขมันที่ห้อยย้อยอยู่บริเวณลำคอ ใต้คาง เกิดจากเนื้อที่หย่อนคล้อย และเกิดจากการสะสมของไขมันบริเวณใต้คาง ในกรณีอายุไม่เยอะ เหนียงมักเกิดจากไขมัน ซึ่งเกิดขึ้นได้กับคนทุกคนครับ ไม่ว่าจะเป็นคนอ้วนหรือผอม โดยบริเวณนี้จะเป็นบริเวณที่กำจัดไขมันออกไปได้ยากครับ

ทำไมไขมันถึงไปสะสมบริเวณใต้คอ จนกลายเป็นคางสองชั้น มีเหนียงชัดเจน ? ตัวการทำให้มีเหนียง หน้ากลม หน้าใหญ่ ไม่มีกรอบหน้า ใบหน้าไม่กระชับ ขาดมิติ มีสาเหตุหลัก ๆ จากพฤติกรรมการใช้ชีวิตครับ 

  • พฤติกรรมการกิน 

การรับประทานอาหารมากเกินความต้องการของร่างกาย ชอบรับประทานอาหารประเภทที่มีไขมันสูง ไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ รวมถึงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลปริมาณมากเช่น เนื้อติดมัน ปู ปลาหมึก กะทิ น้ำมันมะพร้าว ของทอด อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง ขนมกรุบกรอบโซเดียมสูง เป็นต้น 

อาหารทำให้เกิดเหนียง
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต

พฤติกรรมบางอย่าง เช่น การนอนเล่นโทรศัพท์มือถือ ทำให้ต้องกดหน้าลงเป็นประจำ จนเกิดรอยพับใต้คาง เป็นสาเหตุที่ทำให้มีเหนียงโดยไม่รู้ตัว  รวมถึงการรับประทานอาหารในยามดึก จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานไม่เต็มที่ และเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วทำให้ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญแคลอรีได้ ขาดการดูแลตัวเองไม่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 

ไม่ออกกำลังกาย
  • กระดูกคางสั้น 

ในคนที่มีลักษณะคางสั้น จะทำให้เห็นเหนียงได้ชัดขึ้นครับ เนื่องจากปลายคางที่เชื่อมติดกับบริเวณลำคอ ดูเป็นส่วนเดียวกัน และหากยิ่งก้มหน้าก็จะยิ่งเห็นคางสองชั้นหรือเหนียงได้ชัดเจนกว่าคนทั่วไป  

คางสั้นเหนียงชัด
  • อายุที่มากขึ้น 

เมื่ออายุเริ่มมากขึ้น ผิวหนังจะเริ่มหย่อนคล้อยลงครับ โดยเฉพาะแนวคาง ลำคอ เนื่องจากคอลลาเจนและอิลาสตินเสื่อมสภาพลง จึงทำให้ผิวบริเวณลำคอใต้ตางตกลง  เพราะกล้ามเนื้อที่ยึดเกราะบริเวณลำคอถึงใบหน้าส่วนล่าง หย่อนลงแล้วดึงใบหน้าส่วนล่างให้คล้อยลงตามแรงโน้มถ่วง ทำให้มองดูแล้วเห็นเป็นเหนียง ห้อย ๆ และกรอบหน้าไม่ชัดได้ครับ 


วิธีลดเหนียงมีอะไรบ้าง ?

วิธีลดเหนียง มีหลายวิธีครับ นอกจากการวิธีฉีดแฟตเหนียง ที่เป็นวิธีที่ง่าย สะดวก และราคาไม่แพงแล้ว ยังมีวิธีอื่น ๆ ที่ช่วยได้ และยังสามารถทำร่วมกับการฉีดfatลดเหนียงได้ด้วย

  • Hifu / Ulthera SPT  ยกกระชับลำคอ ลดเหนียง 

การทำ Hifu และ Ulthera SPT เพื่อลดเหนียง เป็นการยิงพลังงานความร้อนคลื่นเสียง High Intensity Focus Ultrasound ลงลึกถึงผิวชั้น SMAS  เพื่อให้ผิวกระชับขึ้น ชั้นไขมันเกิดการหดตัวลง ส่งผลให้บริเวณลำคอกระชับขึ้น เหนียงลดลง รวมถึงช่วยปัญหาลดแก้มห้อย ทำให้กรอบหน้าชัดขึ้น หน้าเรียววีเชฟได้ครับ 

Hifuลดเหนียง

ข้อดีคือทั้ง Hifu / Ulthera SPT สามารถทำควบคู่กับการฉีดmesofatเหนียงได้ครับ จะทำให้เห็นผลเร็วขึ้น เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ส่วนจะเลือกทำ Hifu หรือ Ulthera SPT สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมทั้งเรื่องระยะเวลาของผลลัพธ์ และงบประมาณของแต่ละบุคคลครับ 

  • Thermage FLX ลดเหนียง ยกกระชับหน้า

การทำ Thermage FLX เป็นการใช้คลื่นวิทยุ Radio frequency  ยิงพลังงานความร้อนที่เป็นก้อนขนาดใหญ่ลงใต้ผิว สามารถลดไขมันใต้คาง หรือเหนียงลงได้ และช่วยทำให้ผิวบริเวณลำคอเรียบเนียน เนียนนุ่ม ข้อดี คือ สามารถจะยกกระชับ สลายไขมัน และกระตุ้นคอลลาเจนได้ในคราวเดียวกันได้ และสามารถทำควบคู่กับการฉีดแฟตเหนียงได้ด้วยเช่นกัน  

Thermage FLX ลดเหนียง
  • ฉีดโบท็อก ลดเหนียง

การฉีดโบท็อกลดเหนียง จะเป็นการฉีดโบท็อกเทคนิคพิเศษ  Nefertiti lift ลิฟกรอบหน้า เป็นการฉีดโบท็อกไปที่กล้ามเนื้อ Platysma บริเวณลำคอซึ่งเป็นกล้ามเนื้อส่วนที่ดึงผิวลง ทำให้ใบหน้าหย่อนคล้อย เมื่อฉีดโบท็อกแล้วจะทำให้ส่วนกล้ามเนื้อส่วนที่ดึงผิวขึ้น มีแรงมากกว่าและทำให้หน้ายกกระชับ เห็นกรอบหน้าที่ชัดเจนขึ้น โครงหน้าดูคมชัดขึ้น และเหนียงดูลดลงครับ 

รีวิว ฉีดโบท็อก Nefertiti lift แก้ปัญหาผิวไม่กระชับ คอหย่อนคล้อย

ส่วนในกรณีร้อยไหม ลดเหนียง เก็บเหนียง ที่หลาย ๆ ให้ความสนใจ ถ้าร้อยไหมยกหน้าแล้ว จะร้อยไหมเก็บเหนียงไปพร้อมกันได้ไหม ? หมอไม่แนะนำครับ เพราะบริเวณเหนียง หรือใต้คางที่มีไขมันมาก ๆ  เมื่อร้อยไหมเข้าไปแล้วจะทำให้เนื้อถูกดึงไปกองด้านบน ทำให้ดูหน้าอูม หน้าใหญ่ขึ้นได้ครับ 


ฉีดเมโสแฟตเหนียงดีไหม ? 

การฉีดสลายไขมันเหนียง ถือเป็นทางเลือกที่ดีครับ สามารถช่วยลดไขมันเฉพาะจุดบริเวณใต้คางได้ ใครที่อายุไม่เยอะ กินเก่ง มีไขมันสะสมใต้คางเยอะ หมอแนะนำฉีดเมโสแฟตลดปริมาณไขมันลง กรณีไขมันมาก ๆ อาจจะต้องฉีดแฟตเหนียง 2 ครั้งขึ้นไปถึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนครับ  

หน้ากลมแก้มเยอะ อยากลดแก้มทำอย่างไร? วิธีลดแก้ม ลดเหนียง แบบเร่งด่วน

การฉีดเมโสแฟตเหนียง ไขมันจะสลาย 10-15% ในครั้งแรกที่ฉีด หลังฉีดแฟตจะเห็นผลมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันของแต่ละคนด้วยครับ

ฉีดแฟตลดเหนียง

ส่วนในเคสที่เริ่มมีอายุ 30+ มีเหนียง ไขมันใต้คางเยอะ และมีผิวหนังบริเวณลำคอ หย่อนคล้อย แนะนำทำร่วมกับการทำ  Hifu / Ulthera หรือ Thermage ครับ ก็จะช่วยกระชับผิวได้มากขึ้น คอดูเรียวยาวขึ้นได้ครับ 


ข้อดี-ข้อเสียของเมโสแฟตเหนียงมีอะไรบ้าง ? 

ข้อดีของการฉีดแฟตลดเหนียง

  • การฉีดเมโสแฟตเหนียงจะช่วยสลายไขมันส่วนเกินใต้คางอย่างรวดเร็ว
  • แฟตเหนียงมีปลอดภัยสูง เมื่อฉีดด้วยตัวยาที่ได้มาตรฐานและแพทย์มีประสบการณ์ 
  • การฉีดแฟตต่อครั้งใช้เวลาในการฉีดไม่นาน และราคาไม่แพง  
  • หลังฉีดคนไข้สามารถให้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น

ข้อเสียของการฉีดแฟตลดเหนียง

  • การฉีดเมโสแฟตเหนียงในคนไข้ที่มีไขมันสะสมมาก ต้องฉีดประมาณ 4-5 ครั้ง จึงจะเห็นผลที่ชัดเจน
  • หลังฉีดเมโสแฟตเหนียง จะยังไม่สามารถเห็นผลได้ทันที 
  • หลังฉีดเมโสแฟตเหนียงจะมีอาการบวมตัวยา 1-2 ชั่วโมง 

ฉีดเมโสแฟตเหนียง VS การลดเหนียงแบบอื่น

วิธีการลดเหนียง นอกจากการฉีดเมโสแฟตเหนียง แล้ววิธีอื่น ๆ ที่ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อตามที่หมอกล่าวไปข้างต้น ทั้งการฉีดโบท็อก การทำใช้เครื่องมือยกกระชับอย่าง Hifu , Ulthera SPT และ Thermage  

ปัจจุบันยังมีวิธีการลดเหนียงแบบอื่น ที่อาจจะต้องเจ็บตัว มีบาดแผล รวมถึงเสียเลือดได้ อย่างการดูดไขมัน และการผ่าตัด ครับ 

  • การดูดไขมันเหนียง   

การดูดไขมันบริเวณลำคอ เพื่อลดเหนียง กำจัดไขมันใต้คอ เป็นวิธีที่ช่วยลดปริมาณไขมันลงได้ครับ แต่ความเสี่ยงสูง เพราะบริเวณลำคอ มีเส้นเลือดและเส้นประสาทสำคัญจำนวนมาก 

โดยส่วนตัวหมอไม่แนะนำให้คนไข้ดูดไขมันครับ เพราะราคาค่อนข้างสูง หลังทำจะบวมช้ำค่อนข้างมาก เพราะเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดเยอะ และหากมีเลือดออกมากจะเสี่ยงต่อการกดทับหลอดลมได้ หากอยากจะทำจริง ๆ  ควรทำใน รพ.เท่านั้นครับ

  • การผ่าตัดลดเหนียง กระชับคอ

การผ่าตัดกระชับเหนียง (Double Chin Surgery) จะแก้ไขปัญหาเหนียงและคางสองชั้นได้อย่างถาวร ทำให้กรอบหน้าชัดขึ้น  หลังจากผ่าตัดกระชับเหนียง อาจมีอาการบวมช้ำอย่างน้อย 10 วัน และเข้าที่เต็มที่ใช้เวลาที่ประมาณ 1-3 เดือน 

โดยส่วนใหญ่วิธีนี้จะเป็นผ่าตัดเปิดแผลในช่องปาก ร่วมกับแผลด้านนอก จึงต้องดูแลตัวเองหลังผ่าตัดเป็นอย่างดี เพราะเสี่ยงอักเสบติดเชื้อได้ ใครที่แผลหายยาก หรือเป็นแผลคีลอยด์ง่าย ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนทำครับ 

แล้วจะเลือกวิธีไหนดี ? คนไข้ต้องถามความตัวเองก่อนครับ ว่ารับได้แบบไหน ถ้าไม่อยากเจ็บตัว มีแผลเสียเลือด ใช้งบไม่มาก การฉีดเมโสแฟตเหนียงเป็นวิธีที่คุ้มค่าครับ เมื่อไขมันลดแล้ว อยากให้ผิวกระชับขึ้นอีก ก็สามารถทำ Hifu Ultraformer III ได้ครับ ที่สำคัญ 2 หัตถการนี้ราคาไม่แพง มีความปลอดภัยสูง แต่ถ้าอยากได้ความถาวร ไม่ติดเรื่องงบประมาณ อยากเห็นผลชัดเจนก็สามารถผ่าตัดยกกระชับเหนียงได้ครับ 


ฉีดเมโสแฟตเหนียงอันตรายไหม ?

การฉีดเมโสแฟตเหนียงมีความปลอดภัยครับ ใครที่กังวล หรือหาข้อมูลมาแล้วพบว่าฉีดแฟตแล้วเสี่ยงเนื้อเน่า เนื้อตาย ต้องดูรายละเอียดด้วยครับว่า เมโสแฟตที่ฉีดนั้นฉีดเป็นตัวยาอะไร ฉีดโดยใคร และฉีดที่ไหน 

กรณีที่ฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์การปรับรูปหน้า ใช้ตัวยาที่ได้มาตรฐานและฉีดในปริมาณที่เหมาะสมกับไขมัน ภายใต้คลินิกที่ได้มาตรฐาน ก็จะมีความปลอดภัยสูงครับ คนไข้ไม่ต้องกังวล 

การฉีดเมโสแฟตเหนียง

ส่วนความอันตรายของการฉีดเมโสแฟตเหนียง หรือฉีดเมโสแฟตในตำแหน่ง อื่น ๆ มักจะมาจาก

  1. ตัวยาที่ไม่ได้มาตรฐาน เป็นตัวยาที่ขายตามอินเทอร์เน็ต ซื้อขายออนไลน์แบบง่าย ๆ  กรณีนี้สงสัยได้เลยครับว่าเป็นยาปลอม ไม่ควรซื้อมาฉีดเองตามคำโฆษณา

    การฉีดเมโสแฟต ต้องฉีดโดยแพทย์เท่านั้น และมีเพียงแพทย์เท่านั้นที่สามารถสั่งซื้อตัวยาจากบริษัทยาที่นำเข้าได้  
  2. ตัวยาปลอม ปัจจุบันยังมีการแอบใช้ สารสเตียรอยด์ มาฉีดให้คนไข้อยู่ครับ ซึ่งสารสเตียรอยด์เป็นยาที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ใช้สำหรับรักษาโรคที่มีการอักเสบภายในร่างกาย แต่มีฤทธิ์ข้างเคียงทำให้ไขมันฝ่อและสลายตัวไปได้ คลินิกเถื่อน หมอปลอม ก็จะเอามาฉีดให้คนไข้ เพื่อสลายไขมันเฉพาะส่วนเพราะเห็นผลเร็ว ราคาถูก แต่เป็นการใช้ยาที่ผิดวัตถุประสงค์

    การฉีดสารสเตียรอยด์เพื่อสลายไขมัน ต้องฉีดยาเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก ทำให้เกิดผลข้างเคียงหลังฉีด เช่น เกิดผิวหนังบุ๋ม เกิดการติดเชื้อ หรือมีการบวมน้ำตามร่างกาย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศเตือนครับ
เมโสแฟตอันตรายไหม ? ฉีดแล้วหน้าบวมแก้อย่างไร ? l หมอ V Square แชร์หมดเปลือก

ฉีดเมโสแฟตเหนียงมีผลข้างเคียงไหม ?

ฉีดแฟตเหนียงผลข้างเคียงมีอยู่ครับ แต่เป็นผลข้างเคียงปกติที่เกิดขึ้นได้ สามารถหายได้เองและไม่เป็นอันตราย เช่น 

  • อาการบวมหลังฉีด เกิดได้ทุกเคส เพราะเป็นอาการบวมจากตัวยา สามารถยุบหายได้เองตามธรรมชาติ เกิดจากปริมาณตัวยาที่ฉีดเข้าไป จะค่อย ๆ ทำปฏิกิริยากับไขมันบริเวณที่ต้องการสลาย จึงเกิดอาการบวมตามปริมาตรยาที่ฉีด แต่หลังจากที่ตัวยาดูดซึมดีแล้วก็จะยุบไปเอง ใน 3-4 ชั่วโมง ดังนั้นคนไข้ไม่ต้องกังวล ในบางเคสอาจจะมีอาการบวมเข็มได้เล็กน้อยเป็นปกติครับ
  • รู้สึกตึง ๆ ผิว ในตำแหน่งที่ฉีด เนื่องจากเป็นลงเข็มฉีดตัวยาเข้าสู่ผิว จึงอาจรู้สึกปวด ๆ ตึง ๆ เล็กน้อยได้ อาการจะหายได้เองเช่นกัน    

เมโสแฟตเหนียงมีขั้นตอนการฉีดอย่างไร ? 

ขั้นตอนการฉีดเมโสแฟตเหนียงไม่ยุ่งยากครับ ก่อนเข้ารับการฉีดเมโสแฟตเหนียง คนไข้จะต้องปรึกษาแพทย์แจ้งความกังวล แจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัว เพื่อให้แพทย์วิเคราะห์ ประเมินปริมาณไขมัน แนะนำยี่ห้อตัวยา และปริมาณที่เหมาะสมให้ครับ ส่วนขั้นตอนการฉีดมีดังนี้

  • ก่อนฉีดจะมีเจ้าหน้าที่จะทำความใบหน้า ลำคอ (บริเวณที่กำจัดไขมัน) 
  • ก่อนลงเข็มฉีดแฟต เจ้าหน้าที่จะคอยประคบเย็น ในบริเวณที่ฉีดเพื่อลดความเจ็บลง
  • แพทย์ฉีดตัวยาเมโสแฟต ตามตำแหน่งที่ประเมินไว้ 
  • หลังฉีดเสร็จจะมีแปะพาสเตอร์ยาเล็ก ๆ ตามจุดที่ฉีดให้ (หลัง 1 ชม. แกะออกได้)   

ระยะเวลาในการทำหัตถการเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10-20 นาที ครับ 


ฉีดเมโสแฟตเหนียงเจ็บไหม บวมกี่วัน ? 

ฉีดเมโสแฟตเจ็บเล็กน้อย เพราะเป็นการใช้เข็มฉีด และตัวยาอาจจะแสบ ๆ ได้ครับ แต่เจ็บแบบทนได้ รวมถึงขั้นตอนการฉีดมีการประคบเย็นจึงไม่เจ็บมาก ส่วนอาการบวมจากตัวยาจะหายไปใน 3-4 ชั่วโมงครับ  


เมโสแฟตเหนียงเหมาะกับใคร ?

  1. ผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณเหนียงเยอะ มีคางสองชั้น ต้องการให้ไขมันบริเวณเหนียงลดลง
  2. ผู้ที่ต้องไม่ต้องความยุ่งยากหลังฉีด เพราะเป็นหัตถการที่ไม่ต้องพักฟื้น
  3. ผู้ที่ต้องการฉีดลดไขมันด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ 100% มีความปลอดภัย
  4. ผู้ที่ออกกำลังกายลดน้ำหนักแล้ว เหนียงก็ยังไม่ลง

ฉีดเมโสแฟตเหนียงไม่เหมาะกับใคร ?

  1. สตรีมีครรภ์รวมไปถึงอยู่ระหว่างให้นมบุตร
  2. คนไข้ที่มีโรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
  3. คนไข้โรคหัวใจและทำการรักษาด้วยยาหลายแขนง
  4. คนไข้ที่มีโรคติดเชื้อหรือมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

วิธีเตรียมตัวก่อนมาฉีดเมโสแฟตเหนียง

  • ก่อนฉีดเมโสแฟตเหนียง ควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหาและประเมินปริมาณไขมัน
  • แจ้งความกังวล ว่ามีจุดไหนบ้างที่คนไข้ต้องการแก้ไข เพื่อให้หมอวิเคราะห์ คำนวณการใช้ตัวยาเมโสแฟตให้เหมาะสม
  • แจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัว
  • ก่อนฉีดเมโสแฟต 48 ชั่วโมง ควรงดยาในกลุ่มของ แอสไพริน, NSAIDs และ Dipyridamole

หลังฉีดเมโสแฟตเหนียงควรดูแลตัวเองอย่างไร ?

  1. ดื่มน้ำมาก ๆ : การฉีดเมโสแฟตเป็นการสลายก้อนไขมันเป็นของเหลวและถูกขับออกมาทางปัสสาวะ หลังฉีดแฟตเหนียงจึงควรดื่มน้ำให้มาก ๆ อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร 

    ข้อดีของการดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายจะช่วยในการขับไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายได้มากขึ้นครับ 
  2. งดทาครีมบริเวณรอยเข็ม 1 คืน : หลังฉีดแฟตเหนียงแล้วเกิดรอยแดง รอยช้ำจากเข็มในบริเวณที่ฉีด คนไข้สามารถประคบเย็นก่อนใน 48 ชั่วโมงแรก สามารถล้างหน้าและแต่งหน้าได้ตามปกติ
  3. เลี่ยงความร้อน และสารกระตุ้นการบวมช้ำ : หลังจากการทำเมโสแฟตเหนียง 1-3 วัน อาจจะพบอาการบวมช้ำหรือเจ็บปวดบ้างเล็กน้อย จึงควรหลีกเลี่ยงการนวด อบซาวน่า รวมถึงงดการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์หรือการทำทรีตเมนท์ต่าง ๆ เพื่อลดอาการบวมฟกช้ำให้น้อยลง
  4. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม : โดยเฉพาะพฤติกรรมการรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีรสเค็ม แป้ง ไขมัน น้ำตาล ลดการสะสมของไขมัน ไม่ให้เหนียงกลับมาอีก และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่นอนดึก ครับ
หลังฉีดเมโสแฟตเหนียง

ฉีดเมโสแฟตเหนียง ใช้ยี่ห้อไหนดี ?

ตัวยาเมโสแฟต

ตัวยาเมโสแฟตมีหลายยี่ห้อครับ แต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน หมอจะประเมินปัญหาและความต้องการของคนไข้ก่อน จากนั้นจะแนะนำยี่ห้อเมโสแฟตที่เหมาะสมให้ เพื่อผลลัพธ์ดีที่สุด

  • เมโสแฟตยี่ห้อ Phytobella
เมโสแฟตเหนียงยี่ห้อ Phytobella

เมโสแฟตยี่ห้อ Phytobella เป็นผลิตภัณฑ์ตัวยาจากประเทศเกาหลี ตัวยามีสารสกัดจากธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัย สามารถใช้ฉีดเพื่อสลายไขมันได้หลายส่วนของร่างกาย อาทิ เหนียงใต้คาง แก้ม ต้นแขน ต้นขา สะโพกและน่อง ช่วยสลายไขมันได้ดีและยกกระชับผิวได้ 

ข้อดี : ฉีดแล้วยุบดี ไม่บวมแดง ไม่ทำให้ผิวหย่อนคล้อยครับ

ข้อควรระวัง : ขณะฉีดจะรู้สึกแสบเล็กน้อย

ราคา : ครั้งละ 6 CC / 2,000 บาท

  • เมโสแฟตยี่ห้อ BABI Neo One
เมโสแฟตเหนียงยี่ห้อ BABI Neo One

เมโสแฟตยี่ห้อ BABI Neo One เป็นผลิตภัณฑ์จากประเทศเกาหลีเช่นกัน ตัวยาจะเหมาะกับคนไข้ที่มีปัญหาแก้มหย่อน เหนียงหย่อนคล้อย สามารถสลายไขมันพร้อมยกกระชับได้ดี หลังฉีดจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ได้ใน 3 วัน นิยมใช้ในการฉีดลดเหนียงมากที่สุดครับ

ข้อดี : ช่วยสลายไขมันพร้อมยกกระชับ ฉีดแล้วยุบดี หลังฉีดไม่มีอาการบวมแดง

ข้อควรระวัง : ขณะฉีดมีอาการแสบ (แต่จะแสบน้อยที่สุดในบรรดายี่ห้อเมโสแฟตทั้งหมด)

ราคา : ครั้งละ 6 CC /2,500 บาท

  • เมโสแฟตยี่ห้อ FNC
เมโสแฟตเหนียงยี่ห้อFNC

เมโสแฟตยี่ห้อ FNC 30 จัดจำหน่ายโดยแบรนด์เวชสำอางจากประเทศเกาหลี เหมาะกับคนแก้มเยอะ มีไขมันสะสมมาก โดดเด่นด้วยกลไกสลายไขมัน Special Peptides ที่สามารถยกกระชับหน้า พร้อมกับปรับสมดุลต่อมน้ำเหลือง ทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดยุบตัวไว 

ข้อดี : ยุบดี เหมาะสำหรับคนที่มีแก้มเยอะ

ข้อควรระวัง : ขณะฉีดจะรู้สึกแสบกลาง ๆ

ราคา : ครั้งละ 6 CC/ 2,500 บาท


ฉีดเมโสแฟตเหนียงใช้กี่ CC ?

ปริมาณการใช้ตัวยาเมโสแฟตจะขึ้นอยู่ปัญหาของคนไข้ครับ หมอจะเป็นผู้ประเมินและแนะนำยี่ห้อ และจำนวน CC ที่เหมาะสมให้เป็นรายบุคคล โดยเมโสแฟต (Meso Fat) 1 ขวด มี 10 CC ครับ บางเคสอาจใช้ 6 CC, 12 CC จนถึง 18 CC หรือมากกว่านี้ได้ครับ 


เมโสแฟตเหนียง ฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล ?

หลังจากฉีดเมโสแฟตเหนียง 1 ครั้ง จะเริ่มเห็นผลว่าเหนียงยุบลง10-15 % และเห็นผลเต็มที่ 1-3 สัปดาห์ ในบางเคสที่มีปริมาณไขมันเหนียงเยอะ ควรฉีดต่อเนื่อง เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน เฉลี่ย 3-5 ครั้งครับ 

ฉีดแฟตเหนียงกี่วันเห็นผล คุณเจสซี่ โดยหมอโต้ง

ฉีดเมโสแฟตเหนียง อยู่ได้กี่เดือน ?

เมโสแฟตอยู่ได้นานแค่ไหน ? โดยทั่วไปจะอยู่ได้นาน 2-3 เดือนครับ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ในเคสที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร เลี่ยงของมัน ของทอด ก็จะช่วยรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้นครับ


เมโสแฟตเหนียง ราคาเท่าไร ?

ฉีดแฟตลดเหนียงราคา จะขึ้นอยู่กับตัวยาที่เลือกใช้ ที่ V Square Clinic เลือกใช้เฉพาะเมโสแฟตที่ได้มาตรฐานตรวจสอบได้ทุกยี่ห้อดังนี้

ราคาฉีดเมโสแฟตเหนียง
  (เมโสแฟตยี่ห้อ PHYTOBELLA ยุบดี ไม่บวมแดง แสบเล็กน้อย)
  • 6 CC ราคา 2,000.- (คอร์ส 5 ครั้ง 9,000.-)
  • 12 CC ราคา 3,500.- (คอร์ส 5 ครั้ง 15,000.-)
  • 18 CC ราคา 5,000.- (คอร์ส 5 ครั้ง 20,000.-)
  • เหมาขวด 10 CC ราคา 3,200.-
  • 5 ครั้ง เมโสแฟต ราคา 15,000.-
ราคาฉีดเมโสแฟตเหนียง
  • FNC ยุบดีที่สุด ไวที่สุดเหมาะกับคนแก้มเยอะ ๆ แสบกลาง 
  • BABI Neo One ยุบดี แสบน้อยที่สุด ช่วยยกกระชับ เหมาะกับคนแก้มหย่อน
  • V LINE ตัวใหม่ ยุบไวกว่า FNC
  • 6 CC ราคา 2,500.- (คอร์ส 5 ครั้ง 9,900.-)
  • 12 CC ราคา 4,500.- (คอร์ส 5 ครั้ง 18,000.-)
  • 18 CC ราคา 6,500.- (คอร์ส 5 ครั้ง 25,000.-)
  • เหมาขวด 10 CC ราคา 4,000.-

ฉีดเมโสแฟตเหนียงที่ไหนดี ? 

ฉีดเมโสแฟตเหนียง ที่ไหนดี ที่เห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน ประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก คือ

  1. คลินิกที่เปิดให้บริการมีมาตรฐานอย่างถูกต้อง
  2. ฉีดเมโสแฟตกับแพทย์ที่มีประสบการณ์
  3. ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพได้มาตรฐาน
ฉีดเมโสแฟตเหนียง ที่ไหนดี

รีวิว ฉีดเมโสแฟตเหนียง

แฟตเหนียงรีวิว
แฟตเหนียงรีวิว

สรุป

การเมโสแฟตเหนียง เป็นวิธีแก้ไขปัญหาไขมันสะสมบริเวณใต้คางที่สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องผ่าตัด และใช้งบประมาณไม่มาก จึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน

สำหรับใครที่สนใจอยากฉีดแฟตเหนียง ควรเข้ารับการฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ คลินิกฉีดที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อ และใช้ตัวยาเมโสแท้เท่านั้น เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยมากที่สุดครับ 


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ

หมอให้คำปรึกษา_หมอ29คน
เมโส-Tensonez-คืออะไร-370x277

เมโส Tensonez คืออะไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? แก้ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ เห็นผลแค่ไหน ?

Categories
mesofat
เมโส Tensonez

เมโส tensonez เป็นหนึ่งในยี่ห้อของเมโสหน้าใส (Mesotheraphy) ซึ่งเมโสแต่ละยี่ห้อจะมีส่วนผสมและการออกฤทธิ์แตกต่างกันไปครับ การฉีด tensonez มีจุดเด่นเรื่องช่วยลดฝ้า กระ และทำให้ใบหน้ากระจ่างใสขึ้น เป็นหนึ่งในยี่ห้อเมโสยอดนิยมที่คนไข้ฉีดแล้วมีรีวิวว่าเห็นผลชัดเจน

ฉีดเมโส tensonez

สำหรับผู้ที่กำลังหาข้อมูลอยู่ ในบทความนี้หมอมีข้อมูลของเมโส tensonez มาแนะนำครับ

สารบัญ เมโส tensonez 

  1. เมโส tensonez คืออะไร ?
  2. เมโส tensonez มีคุณสมบัติต่างจากยี่ห้ออื่นอย่างไร ?
  3. ฉีดเมโส Tensonez ดีไหม ?
  4. Tensonez ของแท้ ดูอย่างไร ?
  5. Tensonez ราคาเท่าไร ?
  6. รีวิวการฉีดเมโส Tensonez
  7. ฉีดเมโส tensonez อันตรายไหม ?
  8. ใครที่ควรเลือกใช้ Tensonez
  9. ฉีดเมโส tensonez ไม่เหมาะกับใคร ?
  10. ฉีดเมโส tensonez มีผลข้างเคียงไหม ?
  11. ข้อดี-ข้อเสียของ tensonez
  12. ฉีดเมโส tensonez อยู่ได้นานไหม ?
  13. ฉีดเมโส tensonez กี่วันเห็นผล ?
  14. ฉีดเมโส tensonez ฉีดกี่ครั้งถึงจะได้ผลดี ?

เมโส tensonez คืออะไร ?

โดยปกติแล้วการทาครีมบำรุงจะต้องใช้ระยะเวลาและความสม่ำเสมอ ตัวยาจึงจะซึมเข้าสู่ชั้นผิวและออกฤทธิ์เต็มประสิทธิภาพ แต่การฉีดเมโส tensonez คือการนำวิตามินและส่วนผสมที่มีประโยชน์ ฉีดเข้าสู่ผิวชั้นกลางโดยตรง ทำให้ตัวยาออกฤทธิ์แม่นยำและช่วยแก้ปัญหาได้ตรงจุด

ผิวชั้นกลางมีความสำคัญอย่างไร ? ผิวชั้นกลางหรือชั้นหนังแท้ (dermis) ประกอบไปด้วย connective tissue เป็นที่อยู่ของคอลลาเจน (collagen) อีลาสติน (Elastin) ซึ่งมีหน้าที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงและมีความยืดหยุ่น การฉีดสารบำรุงหรือเมโสหน้าใสเข้าไปที่ผิวชั้นนี้ จะช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวจากภายใน เห็นผลเร็วและชัดเจนกว่าการทาครีม

การทำงานของเมโส tensonez โดย หมอเป้

การทำงานของเมโส tensonez

สำหรับส่วนผสมสำคัญที่มีอยู่ในเมโส Tensonez เช่น

  • PDRN (Polydeoxyribonucleotide) สารสกัดจาก DNA สเปิร์มปลาแซลมอน ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิว
  • Hyaluronic Acid ตัวช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น เพิ่มปริมาณคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
  • Argireline (Acetyl Hexapeptide-8) เปปไทด์ที่หน้าที่ลดการหดตัวของกล้ามเนื้อ ช่วยลดริ้วรอย ทำให้ผิวเต่งตึงขึ้น
  • Glutathione ปรับสีผิวให้กระจ่างใส ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ
  • Collagen เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ทำให้ผิวเนียนใส แข็งแรงมากขึ้น
  • Multipeptide ช่วยเรื่อง Anti-aging เพิ่มความยืดหยุ่น ฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง

เมโส tensonez มีคุณสมบัติต่างจากยี่ห้ออื่นอย่างไร ?

เมโส tensonez ต่างจากยี่ห้ออื่นอย่างไร _

อย่างที่หมอบอกไปว่าเมโสหน้าใสจริง ๆ แล้วมีหลายยี่ห้อ ใช้แก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกันไป เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น หมอสรุปมาให้ดังนี้ครับ

  • เมโส tensonez ช่วยลดปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ และปรับผิวหน้าให้ดูกระจ่างใส ทำให้สีผิวสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับผู้ผิวหมองคล้ำ แห้งเสียจากแดด
  • มาเด้ คอลลาเจน (Made Collagen) จุดเด่นคือการขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในผิว ลดสิว ผดผื่น ผิวอักเสบ เหมาะสำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิว และชะลอการเสื่อมของคอลลาเจนในผิวบำรุงผิวหน้าให้แข็งแรงขึ้น
  • Filorga / Revs เป็นสูตรเน้นงานผิวขาวใส ลดฝ้า เติมความชุ่มชื้นให้ผิวดูอิ่มน้ำ ช่วยบำรุงผิวล้ำลึก เหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้งกร้าน ขาดการบำรุง 
  • Neo Glutanex Glow ช่วยบำรุงผิวให้ใสขึ้น ลดฝ่า กระ รอยดำ รอยแดง กระชับรูขุมขน
  • Alpha Arbutin ตัวยาออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาฝ้า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดฝ้าโดยตรง

ฉีดเมโส Tensonez ดีไหม ?

เมโส Tensonez คือหนึ่งในยี่ห้อเมโสหน้าใสจากประเทศเกาหลีที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ถ้าถามว่าฉีดเมโส Tensonez ดีไหม ? ดูได้จากความนิยมในการฉีด และรีวิวผลลัพธ์จากคนไข้ ส่วนใหญ่ก็กลับมาฉีดซ้ำต่อเนื่องครับ การฉีดเมโสจะคุ้มค่าสำหรับคนที่ทาครีมแล้วไม่เห็นผล ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง และเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ ซึ่งโดยปกติการทาครีมก็จะช่วยไม่ได้มากครับ 

Vsquare tips

การทาครีมต้องให้ตัวยาซึมลงสู่ผิว และเข้าไปออกฤทธิ์อย่างตรงจุด ซึ่งตัวยาลงสู่ผิวหนังชั้นล่างได้มากหรือน้อยเพียงใดขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างครับ ทั้งคุณสมบัติของครีม รูปแบบผลิตภัณฑ์ ว่าเป็นแบบเหลว ครีม หรือเจล รวมถึงความแรงของผลิตภัณฑ์ ปริมาณครีมที่ทา ผิวหนังบริเวณที่ทา ทำให้คาดหวังผลลัพธ์ได้ยากกว่าการฉีดเมโสหน้าใส ที่ฉีดตัวยาเข้าไปตรงจุดของปัญหา

เมโสหน้าใสช่วยเรื่องอะไรบ้าง

Tensonez ของแท้ ดูอย่างไร ?

วิธีดู Tensonez ของแท้

ก่อนฉีดเมโส Tensonez มีวิธีตรวจสอบว่าเป็นของแท้หรือไม่ดังนี้

  • มีสติกเกอร์ฮาโลแกรมสีทอง สกรีนคำว่า Edencolors ติดบนกล่องทั้ง 2 ข้าง ไม่สามารถลอกออกได้
  • มีสติกเกอร์ Hidden tag ด้านหลังกล่อง และมี QR code เพื่อนำไปสแกนเช็กในระบบว่าเป็นของแท้

Tensonez ราคาเท่าไร ?

Tensonez ราคาการฉีดต่อครั้งอยู่ที่ 3,500 บาท และแบบคอร์ส 5 ครั้ง 15,000 บาท ราคาขึ้นอยู่กับปริมาณและจำนวนครั้งที่ฉีดของคนไข้ด้วยครับ

Tensonez ราคา

รีวิวการฉีดเมโส Tensonez

รีวิวผลลัพธ์การฉีดเมโส Tensonez ที่ V Square Clinic จากผู้ใช้บริการจริง

รีวิวการฉีดเมโส Tensonez

ฉีดเมโส tensonez อันตรายไหม ?

ฉีดเมโส tensonez แท้ปลอดภัย

การฉีดเมโสหน้าใส หรือฉีดเมโส tensonez ไม่อันตรายครับ ส่วนประกอบก็เป็นวิตามินที่มีประโยชน์กับผิว หากฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้สูตรที่เหมาะกับคนไข้แต่ละเคส ก็จะได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจครับ

ส่วนที่หมออยากให้คนไข้ระวังคือการฉีดเมโส tensonez ปลอม หรือเมโสที่หาซื้อได้ตามออนไลน์ ไม่ได้ฉีดกับหมอ ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน อาจทำให้เกิดความเสี่ยงหลายอย่าง เช่น 

  • ยาปลอม ฉีดแล้วไม่เห็นผล
  • ยาปลอม ฉีดแล้วเกิดผลข้างเคียงที่อันตราย มีอาการแพ้
  • ไม่ได้ฉีดกับหมอ อุปกรณ์ไม่สะอาด ห้องทำหัตถการไม่เหมาะสม เกิดการติดเชื้อ

ดังนั้นก่อนฉีดเมโส tensonez ต้องมั่นใจว่าเป็นตัวยาแท้ ฉีดกับหมอจริง ๆ ในคลินิกที่ได้มาตรฐานครับ


ใครที่ควรเลือกใช้ Tensonez

เมโส Tensonez เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ
เมโส Tensonez เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ
  • ผู้ที่มีผิวแห้งเสียจากแสงแดด ดูหมองคล้ำ
  • ผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวไม่สม่ำเสมอ
  • ผู้ที่ไม่มีเวลาทาครีมบำรุงผิว หรือทาครีมไม่สม่ำเสมอ

ฉีดเมโส tensonez ไม่เหมาะกับใคร ?

  • ไม่ได้มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ แค่ต้องการฉีดเมโสเพื่อเพิ่มบำรุงผิว แนะนำเป็นตัวที่เพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นบำรุงโดยเฉพาะครับ (ปรึกษาหมอเพื่อประเมินผิวก่อนได้)
  • ต้องการเห็นผลตั้งแต่หลังฉีดครั้งแรก โดยปกติถ้ามีปัญหาผิวมากจะแนะนำให้ฉีดต่อเนื่องเป็นคอร์ส (ประมาณ 5 ครั้ง) จะช่วยให้ยาออกฤทธิ์ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ฉีดเมโส tensonez มีผลข้างเคียงไหม ?

  • ระหว่างฉีดจะรู้สึกแสบเล็กน้อยจากตัวยา
  • หลังฉีดมีรอยเข็มเล็ก ๆ ในคนไข้บางรายที่มีผิวบาง อาจจะมีรอยช้ำจากเข็มได้ครับ แต่ 1-2 วันก็หายเป็นปกติ 
  • มีตุ่ม หรือผื่นแดงบางจุด อาจมาจากรอยเข็มหรือตัวยาที่กำลังซึมเข้าผิว 1-2 ชั่วโมงก็จะยุบไปเอง 

หากหลังฉีดเมโสแล้วคนไข้มีอาการบวมแดง มีผื่นเยอะขึ้น หรืออาการผิดปกติอื่น ๆ ให้รีบพบแพทย์ครับ เพราะอาจมาจากการแพ้ มักจะพบในคนไข้ที่ไปฉีดเมโสปลอมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์/ฮอร์โมน หรือฉีดกับคนที่ไม่ใช่หมอ ในห้องหรือคอนโดที่ไม่ใช่ห้องทำหัตถการ อันตรายของการฉีดเมโสปลอมคือทำให้ผิวอ่อนแอ ไวต่อแสง ผิวเสียลึก ต้องระวังมาก ๆ ครับ


ข้อดี-ข้อเสียของ tensonez

ข้อดีของ tensonez

  • ช่วยแก้ปัญหาฝ้า กระ ให้ดีขึ้นได้
  • ช่วยลดรอยดำ รอยแดง
  • ช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส
  • ช่วยทำให้สีผิวมีความสม่ำเสมอมากขึ้น

ข้อเสียของ tensonez

  • ไม่ได้เห็นผลทันที ต้องใช้ระยะเวลาให้ยาออกฤทธิ์
  • แนะนำให้ฉีดต่อเนื่อง เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน
  • ต้องฉีดหลายจุดบนใบหน้า อาจจะไม่เหมาะกับคนไข้ที่กลัวเข็ม
  • รู้สึกแสบ ๆ เวลาฉีด (จะมีการประคบน้ำแข็งให้ระหว่างฉีด ถ้าคนไข้กลัวมาก ๆ สามารถขอแปะยาชาได้)
  • ในคนไข้ที่มีปัญหาผิวมาก ๆ เป็นฝ้าลึกมาก ๆ การฉีดเมโสจะไม่ได้ช่วยแก้ได้ทั้งหมด (สามารถฉีดควบคู่กับการทำหัตถการรักษาฝ้าโดยตรงวิธีอื่น ๆ ได้ครับ)

ฉีดเมโส tensonez อยู่ได้นานไหม ?

หลังฉีดเมโส tensonez ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 เดือนครับ ในกรณีที่ฉีดอย่างสม่ำเสมอ ครบคอร์ส ก็จะอยู่ได้นานขึ้น

นอกจากนี้ปัจจัยภายนอก เช่น การดูแลตัวเอง ไม่ตากแดดจัด นอนน้อย ดื่มแอลกอฮอล์ สูบหรี่ ก็ส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา ประสิทธิภาพต่าง ๆ ก็จะลดลง ดังนั้นเมื่อฉีดเมโสแล้วก็ควรดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วยครับ


ฉีดเมโส tensonez กี่วันเห็นผล ?

หลังฉีดเมโส tensonez จะเริ่มเห็นผลใน 3 วัน และจะเห็นผลเต็มที่ประมาณ 7-14 วัน 


ฉีดเมโส tensonez ฉีดกี่ครั้งถึงจะได้ผลดี ?

ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดเมโส Tensonez

ถ้าคนไข้มีปัญหาผิวแล้วเข้ามาปรึกษาครั้งแรก หมอก็จะแนะนำให้ฉีดต่อเนื่องกันก่อนในช่วงแรกครับ อาจจะสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อให้ตัวยาทำงานต่อเนื่อง จะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น และหากคนไข้ต้องการคงผลลัพธ์ให้อยู่นาน ๆ หลังฉีดครบคอร์สแรก ก็สามารถฉีดทุก ๆ 2 สัปดาห์เพื่อคงผลลัพธ์


สรุป

การฉีดเมโส tensonez เป็นการบำรุงผิวอย่างล้ำลึกจากภายใน เห็นผลเร็วกว่าการทาครีมก็จริงครับ แต่ก็ต้องทำควบคู่ไปกับการดูแลตัวเองของคนไข้ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายผิว ก็จะช่วยให้ยาออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 

นอกจากนี้เรื่องความปลอดภัยเองก็ควรให้ความสำคัญ เพราะเมโสปลอมที่ซื้อขายกันในอินเทอร์เน็ต หรือหมอปลอม หมอกระเป๋าก็มีอยู่เยอะ ก่อนฉีดต้องมั่นใจว่าเป็นตัวยาแท้ และฉีดกับหมอในคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้นครับ


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ

หมอให้คำปรึกษา_หมอ29คน
ฉีดเมโสฝ้ากระ โดยหมอเป้

เมโสฝ้า กระ คืออะไร ? ช่วยลดรอยฝ้า กระได้จริงไหม ? กี่วันเห็นผล ต้องฉีดกี่ครั้ง ?

Categories
mesotherapy
ฉีดเมโสฝ้ากระ โดยหมอเป้

ฉีดเมโสฝ้ากระ ลดริ้วรอย จุดด่างดำ

ฝ้า กระ และริ้วรอยจุดด่างดำ เป็นตัวการทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส และมีผลกระทบทางด้านความสวยงาม ที่พบได้บ่อย ๆ ครับ 

ใครที่มีปัญหาเหล่านี้และอยากกำจัดฝ้า กระ ลดริ้วรอย จุดด่างดำ เพราะรู้สึกสูญเสียความมั่นใจ การฉีดเมโสฝ้า (meso melasma) เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยฟื้นฟูผิว ให้กระจ่างใสขึ้น แต่จะเหมาะกับทุกคนหรือไม่ ? ต้องฉีดกี่ครั้ง ? หลังฉีดเมโสฝ้ากี่วันเห็นผล ? อยู่ได้นานไหม ? มียี่ห้อใดบ้าง ? หาคำตอบได้ในบทความนี้ครับ 

สารบัญ ฉีดเมโสฝ้ากระ ลดริ้วรอย จุดด่างดำ

  1. ฝ้า กระ คืออะไร มีกี่แบบ ?
  2. ฝ้า กระ เกิดจากสาเหตุอะไร ?
  3. ฝ้า กระ สามารถรักษาได้ด้วยวิธีไหนบ้าง ?
  4. เมโสฝ้า กระ คืออะไร ?
  5. ยาเมโสฝ้า กระ ทำมาจากอะไร ?
  6. การฉีดเมโสฝ้า กระ ช่วยให้หน้าดีขึ้นได้อย่างไร ?
  7. เมโสฝ้า กระ ดีอย่างไร ?
  8. ฉีดเมโสฝ้า กระ อันตรายไหม ?
  9. เมโสฝ้า กระ เหมาะกับใคร ?
  10.  ฉีดเมโสฝ้า กระ ไม่เหมาะกับใคร ?
  11. เมโสฝ้า กระ ต่างกับเมโสอื่นอย่างไร ?
  12. เมโสฝ้า กระ มีวิธีฉีดอย่างไร นานไหม ?
  13. เมโสฝ้า กระ มีกี่ยี่ห้อ ?
  14. เมโสฝ้า กระ แต่ละยี่ห้อต่างกันอย่างไร ?
  15. เมโสฝ้า กระ แต่ละยี่ห้อ ของแท้ของปลอมดูอย่างไร ?
  16.  ข้อดีของการฉีดเมโสฝ้า กระ
  17. ข้อเสียของการทำเมโสฝ้า กระ
  18. การเตรียมตัวก่อนฉีดเมโสฝ้า กระ ต้องทำอะไรบ้าง ?
  19. วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสฝ้า กระ เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่นาน ?
  20.  ฉีดเมโสฝ้า กระ มีผลข้างเคียงไหม ?
  21. หากมีผลข้างเคียงจากการฉีดเมโสฝ้า กระ ควรปฏิบัติตัวอย่างไร ?
  22. ฉีดเมโสฝ้า กระ กี่วันเห็นผล ?
  23. เมโสฝ้า กระ ฉีดกี่ครั้งถึงเห็นผล ?
  24. หากฉีดเมโสฝ้า กระ ไม่ต่อเนื่องจะเป็นอย่างไร ?
  25.  เมโสฝ้า กระ อยู่ได้นานไหม ?
  26.  ฉีดเมโสฝ้า กระ เจ็บไหม ?
  27. ฉีดเมโสฝ้า กระ ราคาเท่าไร ?
  28.  ฉีดเมโสฝ้า กระ ที่ไหนดี ?
  29. รีวิวการฉีดเมโสฝ้า กระ

ฝ้า กระ คืออะไร มีกี่แบบ ?

ฝ้า (Melasma) คือ ภาวะที่เซลล์สร้างเม็ดสีใต้ผิวหนังทำงานมากเกินไป จึงมีเม็ดสีหรือเมลานินเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผิวหนังเกิดปื้นสีเข้ม

ฝ้า

โดยลักษณะของฝ้าจะเป็นรอยน้ำตาลขอบไม่เรียบ พบได้ตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อน จนถึงสีน้ำตาลเข็ม หรือน้ำตาลเทา ขึ้นอยู่กับความลึกของฝ้าในชั้นผิวหนัง สามารถแบ่งออกเป็น 4 แบบ คือ 

1.ฝ้าตื้น เป็นฝ้าในชั้นหนังกำพร้า (epidermal type) มักเห็นขอบเขตชัดเจน มีสีน้ำตาลเข้ม 

2.ฝ้าลึก ฝ้าเกิดขึ้นในชั้นหนังแท้ (dermal type)

3.ฝ้าผสม หรือ ฝ้าชนิดผสม (mixed type) เป็นชนิดที่พบได้มาก โดยพบร่วมกันทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึก 

4.ฝ้าที่ไม่สามารถบอกตำแหน่งได้ชัดเจน (indeterminate type) พบในผู้ป่วยที่มีสีผิวเข้มมาก ๆ ทำให้ไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่าฝ้าเกิดอยู่ในผิวหนังชั้นหนังกำพร้าหรือหนังแท้ 

ฝ้า พบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย บริเวณที่ร่างกายสัมผัสแสงแดด เช่น ใบหน้า หน้าผาก โหนกแก้ม จมูก เหนือริมฝีปากบน และคาง เป็นต้น 

ตำแหน่งเกิดฝ้า

กระ (freckles) คือ จุดด่างดำที่เกิดบนใบหน้า มีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงน้ำตาลเข้ม เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติในการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) คล้าย ๆ กับฝ้าครับ โดยมีการสร้างเม็ดสีเมลานินจากเซลล์เมลาโนไซต์ที่ใต้ชั้นผิวหนัง เมื่อผิวสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) เมลาโนไซต์จะเพิ่มการผลิตเมลานินเพื่อทำการปกป้องผิวจากความเสียหาย ทำให้เซลล์เม็ดสีเกิดการกระจุกรวมตัวกันมากกว่าปกติ  

กระ พบได้บนใบหน้าเป็นส่วนใหญ่ และยังสามารถพบได้บนผิวหนังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ลำคอ แขน ขา แบ่งออกได้ 4 ชนิดหลัก ๆ ดังนี้ 

  1. กระลึก (Lentigines) : เป็นกระที่อยู่ใต้ชั้นผิวลึก พบได้บริเวณโหนกแก้มมากที่สุด โดยกระชนิดนี้ จะรักษาได้ยาก 
  2. กระตื้น (Ephelides) : มักพบในคนผิวขาว จะมีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ ที่มีสีเข้มหรืออ่อนกว่าผิวหนัง แต่ส่วนใหญ่เป็นสีน้ำตาล 
กระ
  1. กระแดด (Solar Lentigo) : เป็นกระที่เกิดจากการโดนแสงแดดเป็นเวลานาน พบได้มากในวัยผู้ใหญ่มากกว่าวัยรุ่น มักมีลักษณะเป็นดวงสีน้ำตาลเข้ม ผิวเรียบ 
  2. กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis) : เป็นกระที่มักเกิดจากพันธุกรรม มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อเล็ก ๆ นูนออกมาจากผิวหนัง มักมีสีน้ำตาล สีดำ เกิดขึ้นตามใบหน้าหรือคอ 

ฝ้า กระ เกิดจากสาเหตุอะไร ?

ปัจจุบันพบสาเหตุของการเกิดฝ้า กระ มาจากหลายสิ่งเข้าไปกระตุ้น ทั้งปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม ฮอร์โมน รวมถึงกรรมพันธ์ุ 

1. แสงแดด (sun exposure)

“แสงแดด” รังสีอัลตร้าไวโอเลต หรือ รังสียูวี (ultraviolet radiation, UV) เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดฝ้า กระ และยังกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีมีการผลิตเม็ดสีมากขึ้น โดยเฉพาะในบ้านเราที่เป็นเมืองร้อน มีแสงแดดตลอดปี โอกาสเกิดฝ้าจากแสงแดดจึงมีสูงครับ ใครที่ตากแดดเป็นประจำ โอกาสเกิดฝ้าก็ยิ่งมีสูงมากขึ้น เพราะในแสงแดดยังมีรังสีอินฟราเรด (infrared radiation) ที่ก่อให้เกิดความร้อน และกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสีได้เช่นเดียวกัน

แสงแดดสาเหตุการเกิดฝ้า

2. ความร้อน 

ความร้อนที่เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ นอกจากแสงแดด ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน เช่น ความร้อนหน้าเตาไฟ พบได้บ่อย ๆ ในพ่อค้า แม่ค้าที่ต้องทำงานอยู่หน้าเตาไปเป็นเวลานาน ๆ ติดต่อกัน

3. ฮอร์โมนเพศ (sexual hormones) 

  • ฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) 
  • ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (progesterone) 
  • ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (testosterone) 

ล้วนสัมพันธ์กับการเกิดฝ้าครับ จะเห็นได้ว่าคนที่ตั้งครรภ์บางคนมีฝ้าเกิดขึ้นใหม่ หรือเคยมีฝ้ามาก่อน ก็อาจจะมีฝ้าเข้มมากขึ้นได้ 

ฝ้า กระ

นอกจากนี้ยังพบฝ้าในผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิด หรือผู้ที่ใช้ฮอร์โมนทดแทน ขณะเดียวกันในเพศชายที่มีความผิดปกติของระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (testosterone) ก็สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน 

4. ปัจจัยทางด้านเชื้อชาติและสีผิว (skin phototype) 

ลักษณะของสีผิวที่แตกต่างกันมีผลต่อการเกิดฝ้าครับ ฝ้าสามารถเกิดได้กับทุกเชื้อชาติและสีผิว แต่สามารถพบได้มากในคนผิวสองสี หรือในคนที่มีเชื้อสาย Hispanic เอเชีย อินเดีย ปากีสถาน ตะวันออกกลาง และแอฟริกัน อเมริกัน มากกว่าคนผิวขาวจัด หรือดำจัด 

5. ปัจจัยทางพันธุกรรม (genetic predisposition)

ฝ้ากับพันธุกรรม มีความสัมพันธ์กันครับ คนที่เป็นฝ้าจะมีพันธุกรรมที่เอื้อต่อการเป็นฝ้าแฝงอยู่เสมอ และในปัจจุบันยังไม่สามารถหายีนที่ควบคุมการเกิดฝ้าได้ โดยเฉพาะญาติสายตรง เช่น บิดา มารดา พี่ หรือน้อง (first-degree relatives) จะมีโอกาสเกิดฝ้าได้สูง มีการศึกษาในปี ค.ศ. 2009 ซึ่งเก็บข้อมูลจากหลายประเทศทั่วโลก พบว่าประมาณร้อยละ 48 ของคนที่เป็นฝ้ามักจะมีประวัติคนในครอบครัวเป็นฝ้าเช่นเดียวกัน

6. การอักเสบของผิวหนัง 

เมื่อผิวหนังเกิดการอักเสบ ซึ่งอาจมีสาเหตุจากการทายาบางชนิด หรือทำหัตถการที่ส่งผลต่อผิวหนัง เช่นการทำเลเซอร์บางประเภท ก็จะสามารถกระตุ้นให้ฝ้าที่เป็นอยู่เข้มขึ้นได้ 

7. ยารับประทานบางชนิด

โดยเฉพาะยากันชัก กลุ่ม Phenytoin หรือยาในกลุ่มที่ก่อให้เกิดการไวต่อแสง (photosensitizing drugs) สามารถกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้

8. ไม่ใช้ครีมบำรุง

ในกลุ่มคนที่ไม่ค่อยดูแลตัวเอง ไม่ใช้ครีมบำรุง ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น ส่งผลให้ผิวไม่แข็งแรง ทำให้เกิดฝ้า กระ ได้ง่าย 

9. ภาวะเครียด 

มีรายงานการเกิดฝ้า กระ ตามหลังภาวะเครียด และในคนที่เป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งอาจจะสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นผิดปกติของฮอร์โมนบางชนิดที่สามารถกระตุ้นให้มีการสร้างเม็ดสีมากขึ้นได้

10. โรคบางชนิด 

โรคบางชนิด เช่น ความผิดปกติของไทรอยด์โดยเฉพาะกลุ่ม Autoimmune thyroid disease เนื้องอกรังไข่ (ovarian tumors) ก็เคยมีรายงานการกระตุ้นให้ฝ้าเป็นมากขึ้น


ฝ้า กระ สามารถรักษาได้ด้วยวิธีไหนบ้าง ?

ฝ้าเป็นโรคที่รักษาค่อนข้างยาก ใช้เวลาในการรักษานาน และมักเป็น ๆ หาย ๆ จึงต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นทำให้เกิดฝ้า กระ ร่วมด้วย 

รักษาฝ้า

ในส่วนของวิธีการรักษาปัจจุบัน ทำได้หลายวิธี โดยใช้ระยะเวลาในการรักษาและให้ผลลัพธ์หลังการรักษาแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของฝ้า ดังนี้ 

  • การใช้ยาทา

การรักษาฝ้าโดยใช้ยาทา จะมีตัวยาหลายสูตร ส่วนผสมหลักคือ ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ซึ่งเป็นยาที่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้นครับ เพราะหากตัวยามีผสมของสารไฮโดรควิโนนที่มากเกินไป จะส่งผลอันตรายต่อผิว ถึงขั้นเซลล์เม็ดสีตายและเกิดเป็นด่างขาวขึ้นได้ 

ปัจจุบันพบได้บ่อย ๆ ในครีมที่โฆษณาเกินจริงว่าสามารถลดฝ้า จุดด่างดำ ได้เร็ว ๆ ภายใน 3 วัน 7 วัน แบบนี้ต้องระวังครับ 

Vsquare tips

ข้อควรรู้ : ในปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ห้ามผสมสารไฮโดรควิโนนในเครื่องสำอาง เกินร้อยละ 2 แต่กรณีความเข้มข้นที่สูงขึ้น ต้องให้แพทย์สั่งจ่ายและติดตามผลเพื่อประเมินอาการและ ผลข้างเคียงจากการใช้ยา

  • การฉีดเมโสฝ้ารักษาฝ้า กระ 

การฉีดเมโสลดฝ้ากระ จะเป็นการฉีดตัวยาหรือวิตามินเข้าไปในชั้นผิวเพื่อช่วยยับยั้งการทำงานของเม็ดสี ข้อดีคือตัวยาจะซึมเข้าสู่ผิวได้ทันที จึงให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่าการทาครีมลดฝ้า ช่วยลดฝ้า กระ และจุดด่างดำได้เร็ว ปัจจุบันได้รับความนิยมมากครับ เพราะราคาไม่แพง และมีขั้นตอนการทำที่ไม่ยุ่งยาก ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับการฉีดเมโสลดฝ้า/เมโสเมลาสมา หมอจะอธิบายอย่างละเอียดให้หัวข้อต่อ ๆ ไป  

  • ยากินลดฝ้า

นอกจากยาทา ยาฉีดแล้ว ยังมีในส่วนของยากินกลุ่ม Tranexamic acid ซึ่งเป็นยาที่มีรายงานทางการแพทย์ว่าสามารถทำให้ฝ้าจางลงได้ แต่เนื่องจากยาตัวนี้มีผลรักษาเกี่ยวกับระบบการแข็งตัวของเลือด และมีผลข้างเคียงอื่น ๆ การใช้ยาจึงต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด และก่อนการรักษาจะต้องมีการตรวจและประเมินก่อนให้ยาโดยแพทย์

  • ทรีตเมนต์รักษาฝ้า

การทำทรีตเมนต์รักษาฝ้าด้วยสารเคมีอ่อน ๆ (superficial chemical peels) เช่น การผลัดผิวด้วยกรด TCA หรือกรดผลไม้ สามารถช่วยทำให้ผิวหนังบริเวณที่มีฝ้าหลุดลอกออกได้ครับ แต่ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยม เพราะมีโอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น อาการแดงอักเสบของผิวหนัง การติดเชื้อ ทำให้เกิดรอยดำตามมาภายหลังได้

ทรีตเมนท์รักษาฝ้า

อีกทรีตเมนต์รักษาฝ้าที่ยังเป็นนิยม คือ Electroporation หรือการใช้เครื่องมือ ion wave นำตัวยาเข้าสู่ชั้นผิว ซึ่งลงได้ลึกกว่าการทายา สามารถช่วยลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี มักใช้เสริมการรักษาหลังจากที่ทำเลเซอร์ครับ 

  • กรดวิตามินลดฝ้า  

กรดวิตามินเป็นยาทาที่ช่วยเร่งการหลุดลอกของเซลล์ผิวชั้นบน จึงช่วยให้รอยฝ้าดูจางลงได้ โดยกรดวิตามินที่ทำมาใช้ ได้แก่ 

  • กรดวิตามินเอ (tretinoin 0.025-0.1%) ช่วยทำให้มีการแบ่งตัวของผิวหนังเร็วมากขึ้น มีการผลัดและหลุดลอกของผิวหนังชั้นบนได้เร็วและยังมีส่วนช่วยในการยับยั้งการส่งต่อของเม็ดสีจากเซลล์สร้างเม็ดสีไปที่เซลล์ผิวหนัง ยับยั้งการสร้างเม็ดสี และลดการอักเสบของผิวหนัง แม้จะมีข้อดีแต่ก็ต้องระมัดระวังในการใช้ครับ เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ทำให้มีการระคายเคืองต่อผิวหนัง มีอาการ แห้ง ลอก แสบ แดง คันได้ 
  • กรดอะเซเลอิค (azelaic acid) ตัวนี้จะช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดกระบวนการอักเสบ ของผิวหนัง และช่วยรักษาฝ้าได้ โดยต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม (ขนาด 15-20%) หลังใช้อาจพบผลข้างเคียงเล็กน้อยจากการใช้ยา เช่น แดง คัน แสบบริเวณที่ทายา เป็นต้น 
  • กรดวิตามินซี (ascorbic acid) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบของผิวหนัง ทำให้ฝ้าจางลงได้ 
  • การใช้เลเซอร์รักษาฝ้า 

การใช้เลเซอร์รักษาฝ้า กระ มักทำในกลุ่มที่มีปัญหาค่อนข้างมาก เพื่อทำลายเม็ดสีส่วนเกิน เป็นวิธีที่ค่อนข้างได้รับความนิยม กลุ่มที่เลเซอร์ที่ช่วยลดฝ้าได้แก่ Q-switched Nd YAG, Copper Bromide laser, PicoSure etc. ซึ่งเป็นเลเซอร์กลุ่มที่ยิงผ่านผิวหนังลงไปทำลายเม็ดสีส่วนเกินให้แตกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ

ซึ่งต้องทำโดยเครื่องเลเซอร์ที่ได้มาตรฐานและทำโดยแพทย์เท่านั้น เพื่อผลการรักษาที่น่าพึงพอใจ และไม่ไปกระตุ้นทำให้ฝ้ามีมากขึ้นครับ 

เลเซอร์ลดฝ้า

ถึงแม้ว่าการรักษาฝ้าจะมีหลายวิธีตามที่หมอกล่าวมาข้างต้น แต่ปัจจุบัน “ฝ้า” ยังเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ครับ สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ ดังนั้นหนึ่งเรื่องสำคัญในการรักษาฝ้า เพื่อลดการกลับมาเป็นซ้ำ คือการหาสาเหตุและหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดฝ้า เช่น ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด สารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่าง ๆ 


เมโสฝ้า กระ คืออะไร ?

เมโสฝ้า คืออะไร ? การฉีดเมโสฝ้า/Meso Melasma คือเทคนิคการฉีดแบบเดียวกับ mesotherapy หรือการฉีดวิตามิน ตัวยาเข้มข้นหลาย ๆ ชนิด ซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อผิว เข้าสู้ผิวชั้นกลาง หรือที่เราเรียกกันว่า “ผิวชั้นเมโส” โดยตรง จึงสามารถกระจายตัวยารักษาฝ้าอย่างเฉพาะเจาะจง และตัวยาซึมเข้าสู่ผิวทันที

การฉีดเมโสฝ้า กระ จุดด่างดำ

ด้วยคุณสมบัติของตัวยาที่ฉีดเข้าไป จะช่วยควบคุมให้เซลล์สีหรือเม็ดสีทำงานลดลง จึงส่งผลให้รอยฝ้า กระจางลดลง จุดด่างดำ จางลงได้เร็วขึ้นครับ เป็นการฉีดด้วยเทคนิคเฉพาะที่ต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ร่วมกับการเลือกตัวยาที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล


ยาเมโสฝ้า กระ ทำมาจากอะไร ?

เนื่องจากตัวยาเมโสฝ้า/mesoฝ้า มีหลายสูตร หลายยี่ห้อ ส่วนประกอบแตกต่างกัน แต่ส่วนประกอบหลัก ๆ ของตัวยาเมโสสลายฝ้า ที่ทำให้เซลล์มีเม็ดสี Melanin น้อยลง และช่วยฟื้นฟูผิว ตัวอย่างเช่น 

  • Tranexamic acid หรือ Transamin เป็นสารที่ช่วยลดการทำงานของเม็ดสี (Melanin) 
  • Idebenone เป็นอนุพันธ์ของสาร Coenzyme Q10 ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดริ้วรอย ฟื้นฟูผิว
  • Vitamin C มีส่วนช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส เปล่งปลั่ง และมีคุณสมบัติในการยับยั้ง Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญที่กระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสี 
  • N-acetyl glucosamine ช่วยลดเลือนรอยดำ ผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด ลดปริมาณเม็ดสีในเซลล์ 
  • Multivitamins+Antioxidants หรือสารบำรุงผิวตัวอื่น ๆ ที่ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวในระดับเซลล์ รักษาฝ้า ลดรอยดำสิว ช่วยให้เซลล์สร้างเม็ดสีขาว แทนเม็ดสีคล้ำ
  • Alpha arbutin ที่มีส่วนช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างเม็ดสีเมลานิน 
  • Glutathione (GSH) ที่มีส่วนช่วยลดการสังเคราะห์เมลานิน ทำให้สีผิวดูกระจ่างใสขึ้น
  • Collagen ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว 
  •  pdrn (Polydeoxyribonucleotide) ที่ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ดูกระจ่างใส กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ที่ถูกทำลายจากมลภาวะต่าง ๆ

การฉีดเมโสฝ้า กระ ช่วยให้หน้าดีขึ้นได้อย่างไร ? 

หลังการฉีดเมโสลดฝ้า ส่วนผสมของตัวยาที่ฉีดเข้าไปแต่ละสูตร จะออกฤทธิ์ได้ทันที ทำให้ในเซลล์มีเม็ดสี Melanin น้อยลง ทำให้เห็นผลลัพธ์ว่าฝ้าที่สีเข้มเริ่มจางลงเร็ว สีผิวดูสม่ำเสมอ และกระจ่างใสขึ้น 

การทำงานของเมโสฝ้า

เมโสฝ้า กระ ดีอย่างไร ? 

การฉีดเมโสฝ้า กระ ถือเป็นอีกตัวเลือกที่ดีครับ ช่วยให้ผิวดูขาวใสขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาหรือยุ่งยากกับการทาครีม หรือรับประทานยา ที่สำคัญตัวยาแต่ละสูตรยังมีส่วนช่วยฟื้นฟูผิวด้านอื่น ๆ เช่น ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนสม่ำเสมอ ผิวอิ่มฟู ชุ่มชื้นขึ้น ช่วยลดริ้วรอย ลดสิว ทำให้ผิวสุขภาพดีขึ้น 


ฉีดเมโสฝ้า กระ อันตรายไหม ?

เนื่องจากตัวยา Meso ลดฝ้า เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ สามารถสลายได้เอง หลังฉีดไม่ทำให้ผิวบางลง จึงมีความปลอดภัย แต่ต้องเป็นตัวยาที่มีคุณภาพ มีกระบวนการผลิตและจัดเก็บตัวยาที่ได้มาตรฐาน และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ภายในคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้นครับ 

การฉีดเมโสฝ้าที่ต้องระวังคือการฉีดเมโสฝ้าปลอมครับ เนื่องจากปัจจุบันการฉีดเมโสฝ้าเป็นที่นิยมมาก อาจมีบางคลินิกที่ไม่ซื่อสัตย์กับคนไข้ ใช้ตัวยาหิ้ว ตัวยาที่ไม่ได้มาตรฐานมาใช้ เพราะราคาถูก ทำให้หลังฉีดอาจเกิดอาการแพ้ เป็นผื่น ทำให้ผิวบางหรือเกิดการอักเสบได้ครับ อีกกรณีที่ต้องระวังคือ รับฉีดตัวยาเมโสตามบ้าน หรือสั่งซื้อตัวยาเองทางออนไลน์ โดยผู้ขายสอนวิธีฉีดให้ ซึ่งเสี่ยงต่อการอักเสบติดเชื้อได้ง่ายครับ 


เมโสฝ้า กระ เหมาะกับใคร ?

การฉีดเมโสฝ้า Meso Melasma สามารถฉีดได้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ที่ต้องการลดฝ้า กระ จุดด่างดำบนใบหน้า รวมถึงผู้ที่ต้องการมีผิวหน้ากระจ่างใสขึ้น

เมโสฝ้า กระ เหมาะกับใคร

ฉีดเมโสฝ้า กระ ไม่เหมาะกับใคร ?

อย่างที่กล่าวไปว่าใครที่มีปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำ ก็สามารถฉีดเมโสฝ้าได้ เพราะเป็นอีกตัวช่วยที่ดีในการลดเม็ดสี ในเคสที่มีปัญหาฝ้าหนา ๆ อยากเห็นผลเร็ว ๆ สามารถฉีดเมโสฝ้า ร่วมกับการทำเลเซอร์ หรือรับประทานยาลดฝ้าร่วมด้วยได้ โดยสามารถปรึกษาแพทย์ เพื่อแนะนำตามความเหมาะสมเป็นเคส ๆ ไปครับ

ปรึกษาแพทย์แนะนำตัวยาเมโสฝ้าที่เหมาะสม โดยหมอนุ่น

เมโสฝ้า กระ ต่างกับเมโสอื่นอย่างไร ?

เมโสฝ้า กระ กับเมโสอื่น ๆ จะต่างกันที่ตัวยาครับ แต่มีเทคนิคการฉีดเหมือนกัน ปัจจุบันตัวยาเมโส มีทั้งสูตรลดฝ้า สูตรลดสิว ลดการอักเสบ รวมถึงสูตรฟื้นฟูผิว กระตุ้นคอลลาเจน ทำให้แต่ละยี่ห้อมีวัตถุประสงค์การใช้ต่างกันครับ 


เมโสฝ้า กระ มีวิธีฉีดอย่างไรนานไหม ?

สำหรับวิธีฉีดเมโส กระ จะเป็นการฉีดตัวยาลงบนผิวชั้นกลาง ด้วยเทคนิคการฉีด 16 จุด โดยจะฉีดตามทิศทางการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลือง คล้ายเราฝังตัวยาไว้ที่ต้นน้ำแล้วปล่อยให้ยาค่อย ๆ ไหลกระจายออกมา ซึ่งข้อดีคือ เป็นแผลน้อย รอยช้ำน้อย เจ็บน้อย ตัวยาออกฤทธิ์ได้ยาวนาน 


เมโสฝ้า กระ มีกี่ยี่ห้อ?

ยี่ห้อเมโสฝ้า

ตัวยาเมโสฝ้า กระ ที่ถูกนำมาในคลินิกเสริมความงาม มีหลายยี่ห้อครับ สำหรับที่ V Square Clinic มียี่ห้อที่ช่วยลดฝ้า ดังนี้ 

  • Made Collagen 
  • Filorga
  • Revs 
  • Neo Glutanex Glow 
  • Tensonez 
  • Alpha Arbutin 

โดยผลลัพธ์หลังฉีดเมโสฝ้า จะช่วยชะลอการกระจายของฝ้า และช่วยให้จางลงได้ 20-50% ในบางเคสครับ โดยผลการรักษาแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาและชนิดของฝ้าด้วย


เมโสฝ้า กระ แต่ละยี่ห้อต่างกันอย่างไร ? 

ตัวยาเมโสฝ้า เมโสหน้าใส แต่ละยี่ห้อจะมีจุดเด่นแตกต่างกันไปตามส่วนผสม หมอจะอธิบายถึงจุดเด่นของแต่ละยี่ห้อ ดังนี้

  • ยี่ห้อ Made Collagen (มาเด้ คอลลาเจน)
เมโสฝ้า Made Collagen

 Made Collagen เน้นลดสิว ลดผื่น ฝ้า กระ ริ้วรอย จุดด่างดำ ขับสารพิษ เป็นยี่ห้อหนึ่งที่ได้รับความนิยมในอันดับต้น ๆ มีคุณสมบัติช่วยบำรุง ฟื้นฟู ทำให้ผิวแข็งแรง ลดการเกิดฝ้า 

  • ยี่ห้อ Filorga และ Revs NCFS 
เมโสฝ้าRevs NCFS

Filorga /Revs NCFS มีจุดเด่นเรื่องช่วยให้ผิวขาวใส ลดฝ้า เติมความชุ่มชื้น และช่วยบำรุงผิว หลังฉีดช่วยลดริ้วรอยจุดด่างดำ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและกระจ่างใสขึ้น

  • ยี่ห้อ Neo Glutanex Glow และ Tensonez 
เมโสฝ้ายี่ห้อNeo Glutanex Glow
เมโสฝ้ายี่ห้อTensonez

Neo Glutanex Glow และ Tensonez จะช่วยให้ผิวขาวอมชมพู ผิวชุ่มชื้น ลดริ้วรอย ฝ้า กระ หลุมสิว กระชับรูขุมขน  

  • ยี่ห้อ Alpha Arbutin 
เมโสฝ้ายี่ห้อAlpha Arbutin

Alpha Arbutin ยี่ห้อนี้จะเน้นลดฝ้าโดยตรง ช่วยปรับผิวกระจ่างใสแบบเร่งด่วน ลดความหมองคล้ำ หน้าโทรม และช่วยลดรอยสิวได้ด้วย 

นอกจากนี้ยังมีตัวยาอื่น ๆ ที่ช่วยฟื้นฟูผิว ทำให้ผิวแข็งแรง ลดความเสี่ยงเกิดปัญหาผิว อาทิ ผิวขาดน้ำ ผิวแห้ง ผิวบาง ผิวแพ้ง่าย เช่น การฉีด rejuran ,exosome และ cytocare เป็นต้น 


เมโสฝ้า กระ แต่ละยี่ห้อ ของแท้ของปลอมดูอย่างไร ?

ใครที่สนใจฉีดเมโสลดฝ้า การทราบข้อมูลตัวยาก่อนฉีดเป็นเรื่องที่ดีครับ ช่วยให้มั่นใจก่อนฉีดได้มากขึ้นว่าตัวยาที่ใช้มีความปลอดภัยหรือไม่ หมอมีตัวอย่างวิธีการดูตัวยาเมโสลดฝ้า 2 ยี่ห้อ ที่ได้รับความนิยม มาให้ศึกษาดังนี้ 

วิธีตรวจสอบ Tensonez ของแท้

วิธีตรวจสอบ Tensonez ของแท้
  • มีสติกเกอร์ฮาโลแกรมสีทอง สกรีนคำว่า Edencolors ติดบนกล่องทั้ง 2 ข้าง ไม่สามารถลอกออกได้
  • มีสติกเกอร์ Hidden tag ด้านหลังกล่อง และมี QR code เพื่อนำไปสแกนเช็กในระบบว่าเป็นของแท้

วิธีตรวจสอบ Alpha arbutin ของแท้

วิธีตรวจสอบ Alpha arbutin ของแท้
  • มีบาร์โค้ดระบุชื่อคลินิกหรือบริษัทที่ซื้อ
  • มี QR code เพื่อนำไปสแกนเช็กในระบบว่าเป็นของแท้

เพื่อความปลอดภัย ก่อนฉีดเมโสฝ้า คนไข้สามารถขอให้แพทย์แกะกล่อง เปิดขวด ผสมตัวยาให้ดูต่อหน้าได้ครับ หรือขอขวดกลับบ้านไปเช็กข้อมูลต่อได้ เพื่อให้มั่นใจว่ายาที่ฉีดให้เรานั้นเป็นยาแท้ที่มีคุณภาพ


ข้อดีของการฉีดเมโสฝ้า กระ

  • หลังฉีดฝ้า กระจางลง เห็นผลไวกว่าการทาครีม
  • ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ลดปัญหาผิวหน้าได้
  • มีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นาน 
  • ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้หน้าได้เลย
  • ปลอดภัย ไม่มีสารตกค้าง ไม่มีผลข้างเคียง

ข้อเสียของการทำเมโสฝ้า กระ

อย่างที่หมออธิบายไว้ตั้งแต่ต้นว่า การรักษาฝ้าไม่มีการรักษาที่หายขาดแบบถาวร การฉีดเมโสรักษาฝ้าก็เช่นกัน แม้จะช่วยลดฝ้าได้จริง แต่ไม่สามารถอยู่ได้ถาวร โดยการฉีดเมโสฝ้า จะเป็นการควบคุมให้เม็ดสีทำงานลดลง ช่วยชะลอการกระจายของฝ้า หากยังมีปัจจัยก่อให้เกิดฝ้าเข้ามากระตุ้น ฝ้าก็สามารถกลับมาได้ครับ 


การเตรียมตัวก่อนฉีดเมโสฝ้า กระ ต้องทำอะไรบ้าง

การเตรียมตัวก่อนฉีดเมโสฝ้า ไม่มีอะไรมากครับ ในเบื้องต้น คนไข้จะต้องเข้าปรึกษาแพทย์พื่อพิจารณาปัญหาที่ต้องการแก้ไขว่าสามารถใช้เมโสช่วยอย่างไรได้บ้าง พร้อมแจ้งประวัติด้านสุขภาพ ประวัติการใช้ยา การแพ้ยา หรือโรคประจำตัวก่อนทุกครั้ง เพื่อที่แพทย์จะได้เลือกสูตรเมโสที่เหมาะสมครับ


วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสฝ้า กระ เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่นาน

  • หลังฉีด 2-3 ชั่วโมง คนไข้สามารถล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า หรือใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน ล้างหน้าอย่างเบามือ ไม่ถู หรือขัดหน้าแรง เพื่อลดการระคายเคือง
  • พยายามเลี่ยงแสงแดด และทากันแดด SPF 50 ขึ้นไป อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ได้ครับ 
  • ควรดูแลบำรุงผิวให้คงความชุ่มชื้นอยู่เสมอโดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารอุ้มน้ำอย่าง Hyaluron หรือทามอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว และยังช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมออยู่ได้นานขึ้น
  • ควรเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะเป็นหนึ่งในตัวการทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้น กระตุ้นให้เกิดฝ้า กระได้ง่าย รวมถึงควรงดหรือลดการสูบบุหรี่ เพราะเป็นต้นเหตุทำให้ผิวหมองคล้ำเร็ว
  • ควรงดอาหารหมักดอง งดของมัน ของทอด รวมถึงอาหารรสหวานจัด เค็มจัด อาหารที่มีไขมันสูง เนื่องจากอาหารเหล่านี้ส่งผลให้เกิดการอักเสบของผิว ทำให้ผิวระคายเคืองจึงเกิดริ้วรอย จุดด่างดำ รวมถึงฝ้า กระ ได้ 

แนะนำหลังฉีดเมโสฝ้า/เมโสหน้าใส ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง กระจ่างใส สุขภาพดี


ฉีดเมโสฝ้า กระ มีผลข้างเคียงไหม ?

การฉีดฝ้า หรือฉีดเมโสหน้าใสลดฝ้า เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัย เมื่ออยู่ภายใต้การดูแลที่ได้มาตรฐานครับ หลังฉีดเสร็จทันทีที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น 

  • มีรอยเข็ม บวมหรือระบบตามใบหน้าได้ ซึ่งรอยเข็มเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 1-3 วัน 
  • บางเคสมีตุ่มนูน ๆ เล็ก ๆ ตรงบริเวณที่ฉีด แต่เมื่อตัวยาซึมเข้าผิวหมดแล้วก็จะยุบลงไปเอง

หากมีผลข้างเคียงจากการฉีดเมโสฝ้า กระ ควรปฏิบัติตัวอย่างไร ? 

ในกรณีเกิดผลข้างเคียง เช่น มีการอักเสบบวมแดง นาน 1 สัปดาห์ ควรรีบปรึกษาแพทย์ครับ 


ฉีดเมโสฝ้า กระ กี่วันเห็นผล ? 

การฉีดเมโสฝ้ากระ จะช่วยให้ผิวหน้าดูขาวใสขึ้น ในช่วง 3 วันหลังฉีด และจะเห็นผลเต็มที่ประมาณ 1 เดือน


เมโสฝ้า กระ อยู่ได้นานไหม ?

หลังจากนั้นจะสามารถคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 เดือน หรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับวิธีการดูแลตัวเอง ในช่วงเดือนแรกควรฉีดทุกสัปดาห์ หลังจากนั้นฉีดทุก ๆ 2 สัปดาห์ เพื่อคงสภาพ


เมโสฝ้า กระ ฉีดกี่ครั้งถึงเห็นผล ?

การฉีดเมโสฝ้าควรฉีดอย่างต่อเนื่อง โดยในครั้งแรกที่ฉีดสามาถเห็นการเปลี่ยนแปลงว่าผิวชุ่มชื้นและกระจ่างใสขึ้น ควรฉีดอย่างน้อย 3-5 ครั้ง ทุกสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ในช่วง 1 เดือนแรก หลังจากนั้นควรฉีดทุก ๆ 2-3 สัปดาห์เพื่อคงสภาพ


หากฉีดเมโสฝ้า กระ ไม่ต่อเนื่องจะเป็นอย่างไร ?

ในกรณีที่ฉีดเมโสฝ้า กระ ไม่ต่อเนื่อง ไม่ได้มีผลอะไรที่เป็นอันตรายครับ แต่อาจเห็นผลลัพธ์ได้ไม่ชัดเจน ในเบื้องต้น แนะนำฉีดซ้ำทุก ๆ 1-2 อาทิตย์ เพื่อช่วยให้ฝ้าดูจางลง บางคนอาจจะเห็นผลไว บางคนต้องใช้เวลา ซึ่งสามารถกลับมาฉีดซ้ำได้ทุก ๆ สัปดาห์ จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่พอใจครับ 


ฉีดเมโสฝ้า กระ เจ็บไหม ?

ฉีดเมโสฝ้า กระ ไม่เจ็บครับ เพราะทางคลินิกจะมีการแปะยาชาทั่วหน้า จึงช่วยบรรเทาความเจ็บระหว่างฉีดได้ แต่ขณะฉีดคนไข้อาจรู้สึกแสบจากการเดินยาได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องกังวลครับ 


ฉีดเมโสฝ้า กระ ราคาเท่าไร ?

การฉีดเมโสลดฝ้า กระ ราคาจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้ ดังนี้ 

ฉีดเมโสฝ้า กระ ราคา
  • มาเด้คอลลาเจน (MADE Collagen)

1 ครั้ง ราคา 2,500.-
คอร์ส 5 ครั้ง 9,900.-

  • Filorga (Fillmed)

1 ครั้ง ราคา 9,000.-
คอร์ส 5 ครั้ง 39,000.-

  • Revs

1 ครั้ง ราคา 6,000.-
คอร์ส 5 ครั้ง 25,000.-

  • Neo Glutanex Glow /Tensonez / Alpha arbutin

1 ครั้ง ราคา 3,500.-
คอร์ส 5 ครั้ง 15,000.-


ฉีดเมโสฝ้า กระ ที่ไหนดี ?

การแก้ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ ต้องทำอย่างต่อเนื่องด้วยวิธีการที่เหมาะสม ถึงจะเห็นผล โดยควรให้ความสิ่งสำคัญกับความปลอดภัยเป็นสำคัญ โดยเฉพาะตัวยาเมโส หากต้องการฉีดสลายฝ้าจะต้องเป็นตัวยาแท้ ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานเท่านั้นครับ ดังนั้นก่อนตัดสินใจฉีดเมโสฝ้า กระ ที่ไหนดี ควรพิจารณาสิ่งเหล่านี้ควบคู่ไปด้วย 

  • คลินิกฉีดเมโสฝ้าต้องได้มาตรฐาน : ชื่อคลินิก ที่ตั้งคลินิก บรรยากาศคลินิก ในเบื้องต้นต้องมีความน่าเชื่อถือ จากนั้นให้เช็กใบอนุญาตว่ามีการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นสถานประกอบการอย่างถูกต้องหรือไม่ มีอุปกรณ์ และเครื่องมือทำหัตถการมีความปลอดภัยไหม เพราะถ้าอุปกรณ์ไม่มีความสะอาดมากพอ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและเกิดรอยแผลเป็นได้ครับ

คลินิกที่ได้มาตรฐานจะต้องประกอบด้วยหลักฐานดังต่อไปนี้

  1. แสดงใบอนุญาตให้ประกอบกิจการ และอนุญาตดำเนินการสถานพยาบาลไว้ในที่เปิดเผยและเห็นได้ง่าย
  2. จะต้องติดป้ายชื่อ ประเภทและลักษณะการให้บริการ รวมทั้งเลขที่ใบอนุญาตให้ประกอบกิจการจำนวน 11 หลัก ที่ด้านหน้าสถานพยาบาล
  3. ติดป้ายชื่อพร้อมรูปถ่าย เลขที่ใบอนุญาตของแพทย์ที่ทำการรักษา ที่หน้าห้องตรวจ-รักษา
ฉีดเมโสฝ้า กระ คุณนิโคล
  • หมอมีประสบการณ์ : การฉีดเมโสลดฝ้า เมโสหน้าใส รวมถึงหัตถการอื่น ๆ หากอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง ก็จะเพิ่มความมั่นใจได้ครับ

ในกรณีที่พบเห็นมีการรับฉีดเมโสตามบ้าน ร้านเสริมสวย จะเป็นหมอกระเป๋า หรือพยาบาลที่ครูพักลักจำมา ไม่ได้มีความรู้จริง ๆ ครับ และโดยปกติ ตัวยาแท้ที่นำเข้าอย่างถูกต้องจะขายให้กับแพทย์หรือโรงพยาบาลเท่านั้น ดังนั้นยาที่หมอกระเป๋าใช้นั้น จึงมักเป็นยาปลอม ยาหิ้วที่หาซื้อได้ง่ายตามอินเทอร์เน็ต หลังฉีดนอกจากจะไม่เห็นผล ยังเสี่ยงเกิดอันตราย หรือเกิดผลข้างเคียงได้ครับ 


รีวิวการฉีดเมโสฝ้า กระ

mesomelasmaรีวิว
เมโสฝ้ากระรีวิว
รีวิว Made Collagen และ LLD Fat คุณโบ้ท By V Square Clinic

สรุป ฉีดเมโสฝ้าดีไหม ? 

การฉีดเมโสลดฝ้ากระ ถือเป็นหัตถการตัวช่วยที่ดีในการลดฝ้า กระ จุดด่างดำ มีความปลอดภัยสูง และเห็นผลเร็ว หากอยู่ภายใต้การดูแลที่ได้มาตรฐานและแพทย์ที่มีประสบการณ์ครับ

หากสนใจฉีดเมโสฝ้ากระ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหาผิวหน้าก่อนว่าเหมาะกับตัวยาสูตรใด ก่อนตัดสินใจฉีด เพื่อความคุ้มค่าและผลลัพธ์เป็นไปตามที่คาดหวัง


เอกสารอ้างอิง 

1. Therapeutical Approaches in Melasma

2.ฝ้า(Melasma) สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข 


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ

หมอให้คำปรึกษา_หมอ29คน
มาเด้คอลลาเจน ราคา

มาเด้คอลลาเจน ราคาแต่ละสูตรเป็นอย่างไร ? แตกต่างกันไหม ?

Categories
mesotherapy
มาเด้คอลลาเจน ราคา นิโคล

มาเด้คอลลาเจน ราคาไม่แพงครับถ้าเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ เริ่มต้นเพียงครั้งละ 2,500 บาท โดยมาเด้ คอลลาเจน เป็นชื่อยี่ห้อยาที่ใช้ฉีดเมโสหน้าใส มีจุดเด่นในเรื่องการขับสารพิษ ลดการอักเสบของผิว ลดสิว และทำให้หน้าขาวใสขึ้นได้บางส่วน ถือเป็นตัวช่วยบำรุงผิวที่คุ้มค่า ฟื้นฟูผิวได้โดยตรง เห็นผลลัพธ์รวดเร็วครับ

สำหรับใครที่สนใจฉีดมาเด้คอลลาเจน หมอมีข้อมูล รีวิวและโปรโมชันฉีดมาเด้คอลลาเจน ราคาพิเศษ มาแนะนำให้ในบทความนี้

ฉีดมาเด้คอลลาเจน หมอเอก
ฉีดมาเด้คอลลาเจน ที่ V Square Clinic

สารบัญ มาเด้คอลลาเจน ราคา

  1. มาเด้คอลลาเจน ราคาเป็นอย่างไร ?
  2. มาเด้คอลลาเจนของแท้ ราคาต่างจากของปลอมมากไหม ?
  3. มาเด้คอลลาเจน ราคาโปรโมชัน
  4. รีวิวมาเด้คอลลาเจน

มาเด้คอลลาเจน ราคาเป็นอย่างไร ?

มาเด้คอลลาเจน ราคาจะขึ้นอยู่กับสูตรหรือปริมาณ CC ที่ใช้ ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีคุณสมบัติและให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป ดังนี้

  • มาเด้คอลลาเจน เน้นขับสารพิษในผิว ลดสิว ลดผดผื่น บำรุงผิวให้แข็งแรง
  • Filorga (Fillmed) ช่วยบำรุงผิวขาวใส ลดจุดด่างดำ เติมความชุ่มชื้น ฟื้นฟูผิว
  • Revs NCFS มีจุดเด่นในการบำรุง ฟื้นฟูและซ่อมแซมผิวให้ชุ่มชื้น ผิวเนียนใส 
  • Neo Glutanex Glow/Tensonez ลดความหมองคล้ำ ลดฝ้า กระ ทำให้หน้าขาวใส     
  • Alpha Arbutin เด่นเรื่องการปรับสภาพผิวกระจ่างใส เน้นลดฝ้าและจุดด่างดำโดยตรง 

มาเด้คอลลาเจนของแท้ ราคาต่างจากของปลอมมากไหม ?

มาเด้คอลลาเจนของแท้ราคาแต่ละคลินิกจะไม่แตกต่างกันมาก โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 2,500 บาท ต่อครั้ง และราคามาเด้คอลลาเจน เป็นคอร์ส 5 ครั้ง ประมาณ 10,000 บาท 

หากพบมาเด้คอลลาเจนราคาถูกเกินไป มาเด้คอลลาเจนราคาส่ง หรือมีโปรโมชันที่ลด แลก แจก แถม เยอะ ๆ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า อาจเป็นมาเด้คอลลาเจนปลอม ตัวยาไม่มีคุณภาพ ผู้ฉีดไม่ใช่แพทย์ ฉีดแล้วเสี่ยงหน้าพัง หรือมีการผสมน้ำเกลือในตัวยา ทำให้ฉีดแล้วไม่เห็นผลครับ

Vsquare tips

ข้อควรรู้ : ก่อนตัดสินใจฉีดมาเด้คอลลาเจน ควรศึกษาวิธีการดูมาเด้คอลลาเจนของแท้ อย่าเห็นแก่ของถูก หรือดูแค่ที่ราคาเพียงอย่างเดียว ให้คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน ราคาสมเหตุสมผล เพื่อผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่า ปลอดภัย


มาเด้คอลลาเจน ราคาโปรโมชัน

โปรโมชันฉีดมาเด้คอลลาเจน ราคาพิเศษ ที่ V Square Clinic มีทั้งแบบรายครั้ง และเป็นคอร์ส 5 ครั้งครับ 

madecollagen โปรโมชั่น

โปรโมชั่น เมโสหน้าใส ราคาพิเศษ สำหรับผู้ติดตาม Line@ และมีสติ๊กเกอร์ “น้อง ดักกี้ V Square”

มาเด้คอลลาเจน

  • ครั้งละ 2,500.-
  • คอร์ส 5 ครั้ง 9,900.-

Filorga (Fillmed)

  • ครั้งละ 9,000.-
  • คอร์ส 5 ครั้ง 39,000.-

Revs NCFS

  • ครั้งละ 6,000.-
  • คอร์ส 5 ครั้ง 25,000.-

Neo Glutanex Glow/Tensonez/Alpha Arbutin

  • ครั้งละ 3,500.-
  • คอร์ส 5 ครั้ง 15,000.-
madecollagen โปรโมชั่น

สูตรวิตามินผิว aura white 

  • ครั้งละ 2,500.-
  • คอร์ส 5 ครั้ง 9,900.-
image5

รีวิวมาเด้คอลลาเจน

ตัวอย่างรีวิวฉีดมาเด้คอลลาเจน ที่ V Square Clinic

รีวิวฉีดมาเด้คอลลาเจนราคา(1) หมอแอน
รีวิวฉีดมาเด้คอลลาเจนราคา หมอแพน
รีวิวฉีดมาเด้คอลลาเจนราคา(1) หมอต้น
รีวิวฉีดมาเด้คอลลาเจนราคา หมอโต้ง

สรุป

มาเด้คอลลาเจน ราคาคุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวอย่างล้ำลึก สำหรับคนที่สนใจ สามารถเข้ามาให้หมอประเมินสภาพผิวก่อนได้ครับ ที่ V Square Clinic หมอตรวจประเมินใบหน้าอย่างละเอียด พร้อมทั้งเลือกสูตรที่เหมาะสมกับแต่ละเคส ตรงตามความต้องการและงบประมาณของคนไข้ แก้ไขปัญหาผิวอย่างตรงจุด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ

หมอให้คำปรึกษา_หมอ29คน
เมโสหน้าใส

เมโสหน้าใส คืออะไร ? ข้อควรรู้ที่สำคัญก่อนตัดสินใจทำมีอะไรบ้าง ?

Categories
mesotherapy
เมโสหน้าใส

เมโสหน้าใส 

การฉีดเมโสหน้าใส (Mesotherapy) เป็นอีกหนึ่งหัตถการความงามที่ได้รับความสนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น เพราะผลลัพธ์ที่ช่วยให้ผิวหน้าขาวใส สุขภาพดีได้อย่างรวดเร็ว 

สำหรับผู้สนใจหมอมีข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดเมโสหน้าใสมาแนะนำอย่างละเอียดครับ ทั้งเมโสหน้าใสช่วยเรื่องอะไร ? การฉีดเมโสหน้าใสมีกี่แบบ ? เมโสหน้าใสฉีดกี่ครั้ง ถึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน รวมถึงค่าใช้จ่าย ฉีดเมโสหน้าใสราคาเท่าไร แพงไหม คุ้มค่าหรือไม่ ?  

รีวิว Made Collagen และ LLD Fat คุณโบ้ท By V Square Clinic

สารบัญ เมโสหน้าใส

  1. เมโสหน้าใส คืออะไร ?
  2. คำว่า เมโส แปลว่าอะไร ?
  3. เมโส มีกี่ประเภท ?
  4. ยาเมโสหน้าใส ทำมาจากอะไร ?
  5. เมโสหน้าใส มีกระบวนการทำงานอย่างไร ?
  6. ปัญหาหน้าตาหมองคล้ำ ไม่ใส มีสาเหตุมาจากอะไร ?
  7. เมโสหน้าใสเหมาะกับใคร ?
  8. เมโสหน้าใสไม่เหมาะกับใคร ?
  9. เมโสหน้าใสอันตรายไหม ?
  10. เมโสหน้าใสกับมาเด้ เหมือนกันหรือไม่ ?
  11. เมโสหน้าใสมีวิธีฉีดกี่แบบ ?
  12. ฉีดเมโสหน้าใสดีไหม ?
  13. เมโสหน้าใส มีกี่ยี่ห้อ ? แต่ละยี่ห้อต่างกันอย่างไร ?
  14. เมโสหน้าใสแต่ละยี่ห้อ ของแท้ของปลอมดูอย่างไร ?
  15. ฉีดเมโสหน้าใสราคาเท่าไร ?
  16. การฉีดเมโสหน้าใสที่ V Square Clinic มีกี่สูตร แต่ละสูตรมีข้อดียังไง ? ราคาเท่าไร ?
  17. ข้อดีของการฉีดเมโสหน้าใส
  18. ข้อเสียของการทำเมโสหน้าใส
  19. การเตรียมตัวก่อนฉีดเมโสหน้าใส
  20. วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสหน้าใส
  21. ฉีดเมโสหน้าใสมีผลข้างเคียงไหม ?
  22. หากมีผลข้างเคียงจากการฉีดเมโสหน้าใส ควรปฏิบัติตัวอย่างไร ?
  23. เมโสหน้าใสฉีดกี่ครั้งถึงเห็นผล ?
  24. หากฉีดเมโสหน้าใสไม่ต่อเนื่องจะเป็นอย่างไร ?
  25. เมโสหน้าใสอยู่ได้นานไหม ?
  26. ฉีดเมโสหน้าใสเจ็บไหม ?
  27. ฉีดเมโสหน้าใสที่ไหนดี ?
  28. รีวิวการฉีดเมโสหน้าใส
  29. การทำหน้าใสมีวิธีอื่นนอกจากเมโสไหม ?

เมโสหน้าใส คืออะไร ?

เมโสหน้าใสคืออะไร โดยหมอเอก

เมโสหน้าใส คือ ทรีทเม้นท์บำรุงผิว หรือ เมโสเทอราปี (Mesotherapy) หนึ่งในทางลัดฟื้นฟูผิวให้สุขภาพดี ด้วยการนำส่วนผสม ตัวยาที่จำเป็นต่อผิวซึ่งปกติมีอยู่ในครีมต่าง ๆ นำเข้าสู่ชั้นผิวโดยตรง จึงทำให้ออกฤทธิ์ไวกว่าการทาครีมปกติ เห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้หลายคนอาจเคยได้ยินกันในชื่อ Meso white คือการทำ Meso หน้าใสเหมือนกัน โดยแต่ละคลินิกจะมีสูตรตัวยาเฉพาะที่ต่างกัน จึงเรียกชื่อให้แตกต่างครับ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นการฉีดเมโสหน้าใสครับ 


คำว่า เมโส แปลว่าอะไร ?

เมโส คือ ชื่อย่อของเมโสเทอราปี (Mesotherapy) ที่เป็นการใช้เข็มฉีดยาขนาดเล็ก ประมาณ 27-30 G (ขนาดเล็กกว่าก้านดอกเข็ม) ฉีดสารอาหารที่จำเป็น ช่วยในการบำรุงผิว แร่ธาตุต่าง ๆ และกรดอะมิโน เข้าสู่ผิวหนังชั้นกลางโดยตรง 

คำว่าเมโส มาจากคำว่า meso แปลว่า ตรงกลาง หมายถึงการฉีดลงใน “ชั้นกลางของผิว”

โครงสร้างของผิวชั้นกลาง
(โครงสร้างของผิวชั้นกลาง)

ในผิวชั้นกลาง (Dermis) เป็นชั้นผิวหนังแท้ จะประกอบไปด้วยคอลลาเจน อิลาสติน เนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ให้ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นแก่ผิว และ hyaluronic acid ซึ่งอายุที่มากขึ้นหรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตจะทำให้ระดับคอลลาเจน อิลาสติน และโครงสร้างผิวเสื่อมสภาพลง

การฉีดเมโสหน้าใสเข้าไปในจุดนี้ จึงเป็นวิธีบำรุงโครงสร้างผิวที่เห็นผลดีและรวดเร็ว ทำให้ผิวกลับมาแข็งแรง ยืดหยุ่น เรียบเนียน


เมโส มีกี่ประเภท ? 

การฉีดเมโส แบ่งเป็น 3 แบบหลัก ๆ ได้ดังนี้

  1. ฉีดหน้าขาวใส มีส่วนผสมของวิตามินต่าง ๆ ที่ทำให้หน้าขาว เช่น vitamin ABCE, Transamin, Glutathione
  2. เน้นหน้าใส จะมีส่วนผสมของคอลลาเจน และ โคเอนไซม์ เป็นหลัก ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ให้ผิวฟูขึ้น กระชับรูขุมขน
  3. เน้นลดสิว-แก้ผื่น จะช่วยลดการอักเสบ ขับสารพิษที่สะสมออก คอลลาเจนยังช่วยให้ต่อมไขมันทำงานลดลงช่วยลดสิว เมโสยี่ห้อที่มีจุดเด่นด้านนี้คือ มาเด้คอลลาเจน ครับ
เมโสหน้าใสช่วยอะไร

ยาเมโสหน้าใส ทำมาจากอะไร ?

เมโสหน้าใส ล้วนมาทำมาจากสารบำรุงที่มาจากธรรมชาติและมีประโยชน์ต่อผิว ที่จะช่วยให้ผิวกระจ่างใสและมีสุขภาพดีขึ้น ประกอบไปด้วย อาหารผิวต่าง ๆ, วิตามิน ABCE, Transamin, Glutathione, คอลลาเจน และโคเอนไซม์ เป็นหลัก

ยาเมโสหน้าใสทำมาจากอะไร
ส่วนประกอบตัวยาที่อยู่ในมาเด้คอลลาเจน

เมโสหน้าใส มีกระบวนการทำงานอย่างไร ?

การฉีด meso หน้าใสใช้หลักการ Homeopathy เป็นศาสตร์การบำรุงผิวที่มีต้นกำเนิดจากเยอรมัน คิดค้นโดยนายแพทย์ ซามูเอล ฮาเนมันน์ (Dr.Samuel Hahnemann) ซึ่งมีกระบวนการทำงานในการบำรุงผิวดังนี้

  1. Detoxification คือ การกำจัดสารพิษ ที่เป็นสาเหตุของการเกิดปัญหาผิว
  2. Metabolism คือ การเร่งกระบวนการเผาผลาญและการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
  3. Nutrients & Cell therapy คือ การให้สารอาหาร และบำบัดรักษาเซลล์ ในจำนวนที่ร่างกายต้องการ ทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น
  4. Restructuring คือ การปรับความสมดุลให้ผิวแข็งแรงขึ้น ช่วยให้มีภูมิต้านทานที่ดี ไม่ถูกทำร้ายจากสภาพแวดล้อมหรือมลภาวะได้ง่าย

จากกระบวนการทำงานข้างต้น การฉีดเมโสหน้าใสจะช่วยลดอาการอักเสบต่าง ๆ บนผิวหน้า และช่วยขับสารพิษที่สะสม ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น โดยผิวจะสามารถดูดซึมวิตามินและนำมาฟื้นฟูตัวเองได้ดีกว่าการทานวิตามินบำรุงผิวหลายสิบเท่า ดังนั้นการฉีดเมโสหน้าใสจึงเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และถึงมากที่สุด


ปัญหาหน้าตาหมองคล้ำ ไม่ใส มีสาเหตุมาจากอะไร ?

หน้าตาหมองคล้ำมีสาเหตุจากอะไร

ผิวหมองคล้ำ ทำให้หน้าตาไม่สดใส ดูมีอายุก่อนวัย เกิดได้จากหลายสาเหตุ

  • อายุมากขึ้น : ผิวเริ่มมีการผลัดเซลล์ช้าลง ร่วมกับมีการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลง ทำให้ผิวเริ่มเหี่ยวย่น มีริ้วรอย เกิดความหมองคล้ำ
  • แสงแดด : การโดนแสงแดดทำให้ผิวผลิตเม็ดสีเมลานินมากขึ้น และรังสี UV ทำให้เกิดจุดสีน้ำตาล ผิวหน้าหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
  • นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ : ฮอร์โมนเมลาโทนิน (ฮอร์โมนที่ช่วยในการซ่อมแซมร่างกาย) ที่มักจะหลั่งออกมาในช่วง 22.00 – 02.00 น.ไม่สามารถซ่อมแซมเซลล์ผิวได้ตามที่ควรจะเป็น ผิวจึงดูหมองคล้ำ โทรม ไม่สดใส
  • ความเครียด : ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ต่อมไขมันผลิตไขมันออกมามากขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว และผิวหมองคล้ำ
  • สภาพอากาศ : หากอยู่ในที่ ๆ มีสภาพอากาศเย็นมาก ๆ ในระยะเวลานาน จะทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งแตก ผิวคล้ำขึ้น
  • การสูบบุหรี่ : บุหรี่มีสารนิโคตินที่ทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดไม่ดี ดูดซับวิตามินเอที่มีสารต้านอนุมูลอิสระได้ไม่เต็มที่ ทำให้ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น ดูหมองคล้ำ

เมโสหน้าใสเหมาะกับใคร ?

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น
  • ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ไม่แข็งแรง มีผดผื่น
  • ผู้ที่มีปัญหาสิวเรื้อรัง ฝ้า กระ จุดด่างดำ รูขุมขนกว้าง
  • ผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง มีเวลาพักผ่อนน้อย นอนดึก
  • ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวให้ดีขึ้นอย่างเร่งด่วน เห็นผลลัพธ์เร็ว

เมโสหน้าใสไม่เหมาะกับใคร ?

  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตต่ำ
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ต้องรักษาด้วยยาหลายชนิด หรือต้องฉีดอินซูลินอยู่เป็นประจำ
  • ผู้ที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ โรคมะเร็ง

เมโสหน้าใสอันตรายไหม ?

การฉีดเมโสหน้าใส ไม่อันตรายครับ ส่วนผสมในตัวยาเมโสประกอบด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ตามหลัก Homeopathy เป็นวิตามินต่างๆ ที่ช่วยบำรุง และเสริมภูมิคุ้มกันให้ผิว ถ้าฉีดโดยใช้ตัวยาเมโสแท้ที่ผ่าน อย. กับแพทย์ที่มีประสบการณ์ ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย 100%

เมโสปลอม
(เมโสปลอมหรือ ยาสเตียรอยด์)

ทั้งนี้ ไม่แนะนำให้ทำเมโสหน้าใสสะกิดเอง หรือซื้อตัวยาจากอินเทอร์เน็ต นอกจากจะมีความเสี่ยงที่จะฉีดโดนเส้นเลือดสำคัญแล้ว ยังมีความเสี่ยงที่ตัวยาเมโสจะเป็นของปลอมที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ หรือมีส่วนผสมที่เป็นอันตราย ซึ่งในระยะแรกอาจเห็นผลดี แต่ผลเสียในระยะยาวจะทำให้ผิวบางลง ไวต่อแดด เกิดฝ้า กระ ได้ง่าย และเกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาได้ครับ


เมโสหน้าใสกับมาเด้ เหมือนกันหรือไม่ ?

เมโสหน้าใสกับมาเด้ต่างกันอย่างไร

มาเด้ คอลลาเจน หรือบางคลินิกเรียกกันว่า เมโสคอลลาเจน เป็นยี่ห้อหนึ่งของเมโสหน้าใสครับ มีจุดเด่นในเรื่องของการขับสารพิษออกจากผิว ลดผื่นแพ้ ผื่นคัน ลดผิวอักเสบ รวมถึงฉีดด้วยเทคนิคการฉีดแบบ 16 จุด ต่างจากการฉีดเมโสหน้าใสสูตรอื่น ๆ ที่จะใช้เทคนิคการฉีดแบบเก่าคือ การฉีดเมโสหน้าใสสะกิด และสูตรยาจะเน้นไปในเรื่องบำรุงผิวขาวใส ลดฝ้า ลดกระ


เมโสหน้าใสมีวิธีฉีดกี่แบบ ? 

เมโสหน้าใสมีวิธีฉีดกี่แบบ

เมโสหน้าใสมีวิธีการฉีดอยู่ 2 แบบ

  • การฉีดเมโสหน้าใสแบบสะกิด

วิธีการฉีดเมโสหน้าใสแบบเก่า โดยจะทำการใช้เข็มฉีดตัวยาเมโสกระจายเป็นจุดเล็ก ๆ ในผิวชั้นตื้นทั่วใบหน้า ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่มีข้อเสียคือ มีผลข้างเคียงระหว่างฉีดได้ง่าย อาจเกิดรอยช้ำรอยแดง ในปัจจุบันจึงไม่ค่อยนิยมทำแล้วครับ

  • การฉีดเมโสหน้าใสแบบ 16 จุด

วิธีการฉีดเมโสหน้าใสแบบใหม่จากประเทศอิตาลี โดยจะฉีดตัวยาเมโสเข้าไปตามทิศทางการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลือง 16 จุด ทำให้ตัวยาเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างเต็มที่ ออกฤทธิ์ได้ยาวนานกว่า และมีรอยช้ำน้อยกว่าการฉีดเมโสสะกิดหน้าใส


ฉีดเมโสหน้าใสดีไหม ?

การฉีดเมโสหน้าใสเป็นทางลัดในการนำส่วนผสมที่มีอยู่ในครีมต่าง ๆ โดยเฉพาะตัวที่ดูดซึมจากการทาได้ยาก มาทำให้สามารถฉีดเข้าในชั้นผิวได้โดยตรง และออกฤทธิ์ไวขึ้นจากปกติที่อาจใช้เวลาเป็นเดือน ทำให้เริ่มเห็นผลได้ใน 1 อาทิตย์หลังฉีด เป็นอีกตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิว แต่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง และต้องการเห็นผลลัพธ์อย่างเร่งด่วน

ฉีดเมโสหน้าใสดีไหม โดยหมอเอก โดยหมอแพน

เมโสหน้าใส มีกี่ยี่ห้อ ? แต่ละยี่ห้อต่างกันอย่างไร ?

เมโสหน้าใสมีกี่ยี่ห้อ

mesoหน้าใส มีหลายยี่ห้อ หลายสูตรให้เลือกใช้ ซึ่งแต่ละสูตรก็จะมีคุณสมบัติเด่นที่แตกต่างกัน เพื่อนำไปใช้แก้ปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม โดยสูตรที่นิยมใช้ในคลินิกความงามชั้นนำ มีดังนี้ครับ

  • มาเด้ คอลลาเจน (Made collagen) – เน้นลดสิว ผดผื่น ขับสารพิษ ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
  • Filorga (Fillmed/Revs) – เน้นผิวขาวใส ลดฝ้า เติมความชุ่มชื้น ช่วยบำรุงผิวแบบ premium
  • Neo-Glutenex Glow เน้นลดกระ รอยสิว ริ้วรอย กระชับรูขุมขน
  • Tensonez – ลดปัญหาฝ้าบนใบหน้า ให้หน้าขาวใส
  • Alpha arbutin – เน้นลดฝ้าโดยตรง

แล้วจะเลือกฉีดเมโสหน้าใสยี่ห้อไหนดี ขึ้นอยู่กับปัญหา สภาพผิว และความต้องการของแต่ละคน โดยควรให้หมอเป็นผู้พิจารณาถึงปัญหาและเลือกสูตรที่เหมาะสมกับแต่ละคนที่สุดครับ


เมโสหน้าใสแต่ละยี่ห้อ ของแท้ของปลอมดูอย่างไร ?

ปัจจุบันการฉีดเมโสหน้าได้รับความสนใจอย่างมาก ทำให้มีผลิตภัณฑ์ของปลอม ราคาถูกเกิดขึ้นอย่างมากมาย และหาซื้อได้ง่ายตามอินเทอร์เน็ต เพื่อความปลอดภัยควรตรวจสอบตัวยาและกล่องยาเมโสที่ใช้ก่อนฉีดทุกครั้งว่าเป็นของแท้หรือไม่ โดยเมโสแต่ละยี่ห้อมีวิธีสังเกต ดังนี้

  1. มาเด้คอลลาเจน (Made collagen)
วิธีดูมาเด้คอลลาเจนแท้
วิธีดูมาเด้คอลลาเจนแท้
  1. Tensonez
วิธีดูเมโสหน้าใส สูตร Tensonez ของแท้
วิธีดูเมโสหน้าใส สูตร Tensonez ของแท้
  1. Filorga 
วิธีดูเมโสหน้าใส สูตร Filorga ของแท้
วิธีดูเมโสหน้าใส สูตร Filorga ของแท้

4. Alpha arbutin

วิธีดูเมโสหน้าใส สูตร Alpha-Arbutin ของแท้
วิธีดูเมโสหน้าใส สูตร Alpha-Arbutin ของแท้

ฉีดเมโสหน้าใสราคาเท่าไร ?

ทำเมโสหน้าใสราคาไม่แพงครับ หากเทียบกับผลลัพธ์และระยะเวลาการเห็นผล ราคาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับยี่ห้อเมโสที่ใช้ โดยจะมีทั้งแบบฉีดเป็นรายครั้งและเป็นคอร์ส เริ่มต้นที่ 2,500.-/ครั้ง 


การฉีดเมโสหน้าใสที่ V Square Clinic มีกี่สูตร แต่ละสูตรมีข้อดียังไง ? ราคาเท่าไร ?

เนื่องจากสภาพผิวและปัญหาของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ที่ V square clinic มียี่ห้อเมโสหน้าใสให้เลือก 6 สูตร เพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย ราคาจะแตกต่างกันไปตามสูตร ก่อนทำหมอจะเป็นผู้ประเมินสภาพผิวก่อนเพื่อเลือกสูตรที่เหมาะสมที่สุดของแต่ละคน

โปรเมโสหน้าใส
  • มาเด้คอลลาเจน (MADE Collagen) ช่วยขับสารพิษออกจากผิว ลดการอักเสบของผิว ให้ผิวใสขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น

1 ครั้ง ราคา 2,500.- | คอร์ส 5 ครั้ง 9,900.-

  • Filorga Fillmed เพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟูผิว พร้อมช่วยยกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ 

1 ครั้ง ราคา 9,000.- | คอร์ส 5 ครั้ง 39,000.-

  • Filorga Revs บำรุงผิวขาวใส ลดฝ้า เติมความชุ่มชื้น บำรุงผิวอย่างล้ำลึก

1 ครั้ง ราคา 6,000.- | คอร์ส 5 ครั้ง 25,000.-

  • Neo Glutanex Glow / Tensonez บำรุงให้ผิวมีความชุ่มชื้น ลดกระ รอยสิว ริ้วรอย กระชับรูขุมขน

1 ครั้ง ราคา 3,500.- | คอร์ส 5 ครั้ง 15,000.-

  • Alpha arbutin ใช้สำหรับลดฝ้าโดยตรง และปรับผิวกระจ่างใส

1 ครั้ง ราคา 3,500.- | คอร์ส 5 ครั้ง 15,000.-


ข้อดีของการฉีดเมโสหน้าใส

  • เป็นการบำรุงผิวอย่างล้ำลึก ช่วยให้ผิวแข็งแรง มีสุขภาพดีขึ้น
  • มีให้เลือกหลายยี่ห้อ หลายสูตร แก้ปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย 
  • ปรับผิวหน้าให้กระจ่างใส ลดสิว ฝ้า กระ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
  • เครื่องสำอางติดทน แต่งหน้าได้ง่ายขึ้น 
  • ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
  • เห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ เห็นผลไวหากเทียบกับการทาครีม

ข้อเสียของการทำเมโสหน้าใส

ผลลัพธ์จากการฉีดเมโสหน้าใสอยู่ได้ไม่ถาวร ต้องฉีดอย่างต่อเนื่องเพื่อคงผลลัพธ์ที่ดีไว้ และหากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์หรือใช้ตัวยาเมโสของปลอม อาจทำให้ไม่เห็นผลหรืออันตรายได้ครับ


การเตรียมตัวก่อนฉีดเมโสหน้าใส

การเตรียมตัวก่อนฉีดเมโสหน้าใส

ก่อนการฉีดเมโสหน้าใส ควรปรึกษาแพทย์ บอกปัญหาที่ต้องการรักษา เพื่อให้แพทย์ประเมินถึงสภาพผิว และปัญหาผิวว่าควรรักษาด้วยเมโสหน้าใสสูตรไหน รวมถึงหากมีโรคประจำตัว ยา อาหารเสริมที่รับประทานเป็นประจำ หรือมีประวัติการแพ้ยา ควรแจ้งแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง


วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสหน้าใส

วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสหน้าใส
  • ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ ประมาณ 2 ลิตร/วัน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
  • งดการสัมผัส ถู นวด หรือเกาบริเวณที่ฉีด 1 – 2 คืนแรก
  • งดการทาครีมบริเวณรอยเข็ม 1 คืน หลีกเลี่ยงการอักเสบ
  • หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดแรง ๆ และควรทาครีมกันแดด SPF 50 PA+++
  • งดการดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ เพราะอาจทำให้มีสารพิษตกค้างในร่างกาย ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น เหี่ยวย่น กลับมาดูหมองคล้ำ
  • งดการรับประทานอาหารหมักดอง ของมัน ของทอด อาหารรสจัด

ฉีดเมโสหน้าใสมีผลข้างเคียงไหม ?

  • รอยเข็มตามใบหน้า หายได้เองภายใน 1 – 3 วัน
  • ผื่นแดง เกิดได้จากหลายสาเหตุ การแพ้ยาชา รอยเข็มเล็ก ๆ หรือการอักเสบติดเชื้อ 
  • อาการบวมแดง เป็นก้อน ร่วมกับมีผื่นแดง และอาการเจ็บตามรอยเข็ม เกิดจากการฉีดเมโสปลอมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์หรือฮอร์โมน
ผลข้างเคียงจากการฉีดเมโสหน้าใส
(ผื่นแดงจากการใช้ตัวยาเมโสที่ไม่ได้มาตรฐาน)

การฉีดเมโสหน้าใสไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายครับ หากใช้ผลิตภัณฑ์เมโสของแท้ และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ แต่ถ้าฉีดแล้วเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เกิดอาการแพ้ มักเกิดได้จากการใช้เมโสของปลอม หรือใช้บริการคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีความสะอาด ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์และเกิดอันตรายได้


หากมีผลข้างเคียงจากการฉีดเมโสหน้าใส ควรปฏิบัติตัวอย่างไร ?

  • มีรอยเข็มเล็ก ๆ หรือผื่นแดงจากรอยเข็ม สามารถประคบเย็นภายใน 48 ชั่วโมงแรก และประคบอุ่นตามคำแนะนำของแพทย์
  • ผื่นแดงจากการอักเสบติดเชื้อ ควรรีบกลับไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อ และในการฉีดเมโสครั้งต่อไปควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความสะอาด ปลอดเชื้อ
  • อาการบวมแดง ผื่นแดงที่เกิดจากการใช้เมโสของปลอม ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อ หรือปรึกษาแพทย์เพื่อจะได้รักษาอย่างตรงจุด

เมโสหน้าใสฉีดกี่ครั้งถึงเห็นผล ?

เมโสหน้าใสฉีดกี่ครั้งถึงเห็นผล

ฉีดเมโสหน้าใสสามารถเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีดเลยครับว่าผิวมีความชุ่มชื้น ดูสุขภาพดีขึ้น โดยจะเริ่มเห็นผลใน 3 วัน และเห็นผลเต็มที่ประมาณ 7 – 14 วัน 

ถ้าอยากเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ในช่วง 1 เดือนแรก ควรฉีดอาทิตย์ละ 1 ครั้ง และหลังจากนั้นควรฉีดทุก ๆ 2 อาทิตย์เพื่อคงสภาพผิวที่ดีไว้ หรือถ้ามีปัญหาผิวในระดับมาก และต้องการเห็นผลแบบเร่งด่วน สามารถฉีดถี่ขึ้น 3 วัน/ครั้ง


หากฉีดเมโสหน้าใสไม่ต่อเนื่องจะเป็นอย่างไร ?

การฉีดเมโสหน้าใสไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ถาวร หากฉีดไม่ต่อเนื่อง และไม่ดูแลตัวเองก็จะทำให้ผิวกลับคืนสู่สภาพเดิม ดังนั้นหากต้องการคงสภาพผิวที่ดีไว้ แนะนำให้ฉีดอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ควบคู่ไปกับการดูแลผิว เพื่อคงผลลัพธ์ที่ดีและอยู่กับเราไปได้นาน


เมโสหน้าใสอยู่ได้นานไหม ?

ผลลัพธ์จากการฉีดเมโสหน้าใสอยู่นานประมาณ 1-2 เดือน ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีด และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของแต่ละคน หากดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำร้ายผิวก็จะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น 


ฉีดเมโสหน้าใสเจ็บไหม ?

ฉีดเมโสหน้าใสเจ็บไหม

การฉีดเมโสหน้าใส แพทย์จะแทงเข็มลงไปในชั้นผิว 5 – 10 มิลลิเมตร ทำให้การฉีดเมโสหน้าใสรู้สึกเจ็บได้บ้างเล็กน้อย แต่เป็นความเจ็บในระดับที่ทนได้ ซึ่งทางคลินิกจะมีการแปะยาชาทั่วหน้าก่อนทำ ช่วยบรรเทาความเจ็บระหว่างทำครับ


ฉีดเมโสหน้าใสที่ไหนดี ?

เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและความปลอดภัย จะฉีดเมโสหน้าใสที่ไหนดี ควรพิจารณาคลินิกที่จะใช้บริการให้ถี่ถ้วนก่อนครับ โดยสามารถพิจารณาได้ตามข้อแนะนำต่อไปนี้

  • คลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล 11 หลัก จากกระทรวงสาธารณสุข
  • ภายในคลินิกมีพื้นที่กว้างขวาง ไม่แออัด สะอาด ปลอดเชื้อ 
  • ทำการรักษาโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ มีเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง และเป็นแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม
  • ควรเลือกคลินิกที่ใช้เมโสของแท้ คนไข้ควรให้หมอแกะกล่องเมโสหน้าใสให้ดูต่อหน้า และขอตรวจสอบตัวยาเมโสกับทางคลินิกก่อนได้
  • มีรีวิวที่น่าเชื่อถือจากประสบการณ์ของผู้ใช้บริการจริง ใน Facebook Pantip ที่คลินิกไม่สามารถลบข้อความเองได้

ฉีดเมโสหน้าใสที่ V square clinic ตัวยาเมโสที่ใช้มีคุณภาพและความปลอดภัย ผ่านการสั่งซื้อจากบริษัทที่เป็นผู้นำเข้าอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งจะขายให้กับผู้ใช้ที่เป็นแพทย์เท่านั้น


รีวิวการฉีดเมโสหน้าใส

ก่อนตัดสินในฉีดเมโสหน้าใส รีวิวเป็นสิ่งสำคัญที่ควรใช้ในการประกอบการพิจารณาเลือกคลินิกครับ โดยควรเป็นรีวิวที่มาจากผู้ใช้บริการจริงในแหล่งที่เป็นกลาง มีความน่าเชื่อถือ 

รีวิว เมโสหน้าใส ที่ V Square Clinic

เมโสหน้าใสรีวิว
เมโสหน้าใสรีวิวโดยหมอแอน
เมโสหน้าใสรีวิว โดยหมอแพน
เมโสหน้าใสรีวิวโดยหมอแอน

การทำหน้าใสมีวิธีอื่นนอกจากเมโสไหม ?

  • รีจูรัน (Rejuran) จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับเมโสหน้าใส มีส่วนประกอบหลัก คือ Polynucleotide หรือ PN สกัดจากปลาแซลมอน (Salmon DNA) นำมาฉีดเพื่อฟื้นฟูผิวหน้าในระดับชั้นผิวหนังแท้ ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ฉ่ำวาว ผิวกระจก
  • Skin booster หรือการฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว เป็นการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluron ที่เข้มข้นกว่าเมโสหน้าใส และกระจายตัวในชั้นผิวได้ทั่วทุกชั้น ช่วยให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้น ใบหน้าใสฉ่ำวาว ดูอิ่มน้ำ 
  • Hifu/Ulthera คือ การใช้เครื่องมือยกกระชับพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความถี่สูง ยิงลงสู่ชั้นผิวเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ให้ผิวเกิดการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเต่งตึง รูขุมขนกระชับ ผิวเรียบเนียนขึ้น
  • เลเซอร์หน้าใส คือ การใช้เครื่องยิงพลังงาน ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดการทำงานของเม็ดสี และช่วยให้มีการกระตุ้นของเซลล์ผิวใหม่ ให้ผิวดูใสขึ้น
  • โบท็อกหน้าใส กระชับรูขุมขน สามารถทำได้ด้วยการฉีดโบท็อกเข้าไปยังกล้ามเนื้อและต่อมไขมัน จะช่วยให้รูขุมขนกระชับ ผิวเรียบเนียนและใสขึ้น
  • Cytocare การฉีดสารบำรุงที่มีส่วนประกอบของไฮยาลูรอนิก แอซิด ประเภท Non Cross-Linked พร้อมอาหารผิวหลากหลายชนิด ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว กระตุ้นคอลลาเจน ให้ผิวมีความชุ่มชื้น ดูกระจ่างใสขึ้น
  • ฉีดวิตามินผิวใส คือ การฉีดตัวยาที่มีส่วนประกอบของวิตามินต่าง ๆ โดยมีส่วนประกอบหลักคือ วิตามิน C เข้าสู่ผิวโดยตรง ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน สร้างคอลลาเจน และบำรุงผิวพรรณ

สรุป

การทำเมโสหน้าใสเป็นทางลัดในการช่วยให้ผิวกระจ่างใส ฟื้นฟูผิวให้มีสุขภาพดี เห็นผลได้ไว มีความปลอดภัย และได้รับความนิยมอย่างมากในตอนนี้ครับ ก่อนตัดสินใจฉีดเมโสหน้าใสควรศึกษาข้อมูล และเลือกใช้บริการคลินิกที่ได้มาตรฐาน สะอาด ใช้เมโสของแท้ และอยู่ในการดูแลของแพทย์ที่มีประสบการณ์ มีเทคนิคการฉีดถูกต้อง เพื่อความปลอดภัย

สำหรับใครที่กำลังลังเลจะฉีดเมโสหน้าใสดีไหม ? เลือกฉีดเมโสหน้าใสยี่ห้อไหนดี ? หรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถทักเข้ามาปรึกษาหมอก่อนได้ครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ

หมอให้คำปรึกษา_หมอ29คน