บทความทั้งหมด

Juvelook

Juvelook ไหมน้ำเกาหลี ช่วยอะไร ? เหมาะกับใคร ? มีจุดเด่นอะไรบ้าง ?

Categories
Skin Booster
Juvelook

รู้จัก ไหมน้ำ Juvelook ตัวช่วยฟื้นฟูผิวเด็ก

ไหมน้ำ “Juvelook” คือหนึ่งในหัตถการกลุ่ม Collagen Biostimulator ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวในทุกมิติ ไม่ว่าจะช่วยฟื้นฟูผิว เติมเต็มความชุ่มชื้น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ในเวลาเดียวกัน

บทความนี้จะพาคนไข้ไปทำความรู้จักกับ Juvelook ไหมน้ำจากเกาหลีแบบเจาะลึก ว่าคืออะไร ? ช่วยแก้ปัญหาผิวแบบไหน ? มีข้อดีอย่างไร เหมาะกับใคร ? Juvelook ต่างกันสกินบูสเตอร์ตัวอื่นอย่างไร ? เพื่อเป็นข้อมูลให้คนไข้ได้ตัดสินใจก่อนเลือกฉีดครับ

สารบัญ Juvelook


Juvelook คืออะไร ?

Juvelook คืออะไร

Juvelook คือ Skin Booster หรือมีอีกชื่อเรียกว่า “ไหมน้ำ” ที่เป็น Hybrid Biostimulator ครับ

ที่ Juvelook เป็น Hybrid Biostimulator ก็เพราะเป็นการผสานคุณสมบัติการทำงานของสาร 2 ชนิดเข้าด้วยกัน คือ PDLLA และ Hyaluronic Acid (HA) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยฟื้นฟูอิ่มน้ำในทันที และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวในระยะยาว

ทำไม Juvelook ถึงถูกเรียกว่า “ไหมน้ำ” ?

Juvelook ถูกเรียกว่า “ไหมน้ำ” เพราะมีคุณสมบัติคล้ายการร้อยไหมเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่แตกต่างในเรื่องของวิธีการและข้อดีดังนี้ครับ

  • แทนที่จะใช้เข็มในการร้อยไหมเส้น Juvelook ใช้การฉีด PDLLA ในรูปแบบของเหลว ทำให้สามารถฟื้นฟูผิวได้อย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ
  • การฉีด Juvelook เจ็บน้อยกว่าและใช้เวลาทำไม่นาน เมื่อเทียบกับการร้อยไหมเส้นที่ต้องใช้เทคนิคการร้อยซับซ้อน
  • PDLLA ที่ฉีดเข้าไปจะกระจายตัวทั่วชั้นผิว ช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างสม่ำเสมอ
  • เนื่องจากไม่ต้องใช้เข็มร้อยไหม ลดความเสี่ยงในการเกิดบาดแผล การอักเสบ และภาวะแทรกซ้อน

สารประกอบสำคัญใน Juvelook

โครงสร้าง PDLLA ใน juvelook

อย่างที่หมอได้บอกไปว่า Juvelook มีสารสำคัญอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน คือ PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid) และ Hyaluronic Acid (HA) ไปดูกันครับว่าเมื่อสารสองชนิดนี้มีหน้าที่อะไรบ้าง

  1. PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid)

PDLLA เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่มีโครงสร้างเป็นเอกลักษณ์ มีลักษณะทรงกลมคล้ายกับฟองน้ำ โดยผสมผสานระหว่างโครงสร้างแบบ D-form และ L-form ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะในชั้นผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว

  • ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจนใหม่
  • ช่วยเสริมความยืดหยุ่นของผิว ให้ผิวแน่นกระชับ และลดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • PDLLA ใน Juvelook สามารถย่อยสลายได้ในร่างกายโดยไม่ทิ้งสารตกค้าง
  1. Hyaluronic Acid (HA)

Hyaluronic Acid ( Non-Crosslinked HA 7.5 mg ) เป็นส่วนประกอบที่ช่วยเติมเต็ม และฟื้นฟูผิวทันทีหลังฉีด

  • ช่วยเติมเต็มน้ำในชั้นผิว ทำให้ผิวดูฉ่ำวาวและเปล่งปลั่ง
  • ช่วยให้ริ้วรอยและร่องลึกจางลงทันทีหลังฉีด
  • การผสมผสานกับ PDLLA ช่วยให้ HA ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในตำแหน่งที่ฉีด

กลไกการทำงานของ Juvelook

กลไกการทำงานของ Juvelook

Juvelook มีหลักการทำงานที่โดดเด่นใน 3 ขั้นตอนหลัก ดังนี้ครับ

: Step 1. Physical Support เติมเต็มและลดเลือนริ้วรอยทันที (ผลลัพธ์ทันทีหลังฉีด)

เมื่อ Juvelook ถูกฉีดเข้าสู่ชั้นผิว Hyaluronic Acid (HA) จะเริ่มทำงานทันที โดยจะเข้าไปช่วยเติมเต็มผิวในบริเวณที่มีปัญหา เช่น ริ้วรอย ร่องลึก หรือบริเวณที่ต้องการความชุ่มชื้น

  • Hyaluronic Acid (HA) ช่วยเติมเต็มริ้วรอยให้ดูตื้นขึ้น ผิวดูเรียบเนียนและอิ่มน้ำทันที
  • PDLLA (Poly-D, L-Lactic Acid) ทำหน้าที่ล็อก HA ไม่ให้เคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งอื่น และเสริมการทำงานของ HA ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ และเปล่งปลั่งทันทีหลังฉีด

: Step 2. Restoration กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (ผลลัพธ์ใน 1-3 เดือน)

หลังจากฉีด Juvelook ประมาณ 1-3 เดือน อนุภาคของ PDLLA จะเริ่มกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ซึ่งเป็นเซลล์ที่สำคัญในการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิว

  • การสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นหนังแท้ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแน่นกระชับให้กับผิว
  • ผิวที่ผ่านการฟื้นฟูจะดูเนียนละเอียดขึ้น ริ้วรอยลึกค่อย ๆ จางลง

กระบวนการนี้ช่วยแก้ปัญหาผิวที่เสื่อมสภาพ เช่น ริ้วรอย รูขุมขนกว้าง และหลุมสิว

: Step 3. Maintenance คงผลลัพธ์ผิวสวยในระยะยาว (ภายใน 6 เดือน)

หลังจากการสร้างคอลลาเจนในระยะเวลา 6 เดือน ผลลัพธ์จะเห็นชัดเจนที่สุด ผิวมีความยืดหยุ่น ดูอ่อนเยาว์ และสุขภาพดีอย่างยาวนาน

  • PDLLA จะสลายตัวเป็นน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกายโดยไม่ทิ้งสารตกค้าง
  • ผิวที่ผ่านการซ่อมแซมจะดูสดใส เนียนละเอียด และแข็งแรง
ผลลัพธ์หลังฉีด Juvelook
ภาพแสดงจำนวนคอลลาเจน (สีม่วง) ที่เพิ่มขึ้น
ผ่านการย้อมสีแบบ Masson Trichrome เพื่อวัดปริมาณคอลลาเจนในชั้นผิวหลังฉีด Juvelook 6 เดือน

การฉีด Juvelook เหมาะกับใคร ?

Juvelook เหมาะกับใคร

Juvelook เป็นนวัตกรรมฟื้นฟูผิวที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูคุณภาพผิวทั้งในระยะสั้นและระยะยาวครับ ได้แก่

  • ผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่การผลิตคอลลาเจนในผิวเริ่มลดลง
  • ผู้ที่มีริ้วรอยบนใบหน้า เช่น รอบดวงตา หน้าผาก ร่องแก้ม หรือบริเวณอื่น ๆ ที่เริ่มมีร่องลึก
  • ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวและรอยแผลเป็น
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งหรือผิวหมองคล้ำ
  • ผู้ที่ต้องการกระชับผิวหย่อนคล้อย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนระยะยาว
  • ผู้ที่มีปัญหารอยแตกลายบนบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ท้อง แขน หรือขา
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ผิวดูสวยอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่เปลี่ยนแปลงรูปหน้า
  • ผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์หรือทำสกินบูสเตอร์อื่น ๆ แต่ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ
  • ผู้ที่มีจุดด่างดำบนใบหน้า รอยแดง รอยดำสิว

Juvelook ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

Juvelook เป็นตัวช่วยฟื้นฟูผิวที่มีประสิทธิภาพสูง ด้วยคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และการเติมเต็มผิว จึงช่วยแก้ปัญหาผิวหลายด้าน ดังนี้ครับ

  • แก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา หน้าผาก ร่องแก้ม ร่องมุมปาก
  • เติมเต็มหลุมสิว และลดรอยแผลเป็นให้ดูตื้นขึ้น พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน
  • ช่วยเติมน้ำในชั้นผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว และสุขภาพดี
  • กระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวลึก ช่วยยกกระชับผิวบริเวณใบหน้า ลำคอ หรือกรอบหน้า
  • ช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าเรียบเนียน ดูละเอียดขึ้น
  • ช่วยฟื้นฟูรอยแตกลายบนร่างกาย เช่น หน้าท้อง แขน ขา หรือสะโพก ให้ดูจางลง
  • ช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูสว่าง กระจ่างใส และเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ

ฉีดจูวีลุคจุดไหนได้บ้าง ?

Juvelook สามารถนำมาฉีดได้หลายบริเวณบนใบหน้าและร่างกาย เช่น

  • ริ้วรอยตื้น (Fine Wrinkles) : ฉีดบริเวณใบหน้าที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ เช่น ร่องรอยรอบดวงตา หน้าผาก หรือมุมปาก
  • ร่องใต้ตา (Tear Trough) : แก้ไขปัญหาผิวใต้ตาที่ลึกหรือหมองคล้ำ ช่วยเติมเต็มและลดเลือนริ้วรอย
  • ทั่วใบหน้า (Skin Rejuvenation – Booster) : ฟื้นฟูผิวหน้าโดยรวม เพิ่มความชุ่มชื้น กระจ่างใส และความเรียบเนียน
  • รอยแผลเป็นจากสิว (Acne Scars) : เติมเต็มหลุมสิว รอยแผลเป็น ฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน
  • ริ้วรอยบริเวณลำคอ (Neck Wrinkles) : ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยบริเวณลำคอ
  • รอยแตกลาย (Stretch Marks) : ใช้ฟื้นฟูผิวบริเวณที่มีรอยแตกลาย เช่น หน้าท้อง ต้นขา หรือสะโพก

ต้องฉีด Juvelook กี่ครั้ง กี่ขวด จึงเห็นผลลัพธ์ ?

แนะนำให้ฉีด Juvelook ต่อเนื่อง ติดต่อกัน 3 ครั้งครับ จึงจะเห็นผลชัด แต่ละครั้งจะใช้ 1 ขวด (ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล) โดยเว้นระยะห่างขวดละ 1 เดือน จากนั้นแนะนำให้ฉีดซ้ำในช่วง 6-8 เดือน เพื่อรักษาผลลัพธ์ของผิวให้อยู่ในสภาพที่ดีอย่างต่อเนื่องครับ

รีวิวผลลัพธ์หลังฉีด Juvelook

รีวิวฉีด Juvelook
รีวิวฉีด Juvelook ลดริ้วรอยหางตา
รีวิวฉีด Juvelook
รีวิวฉีด Juvelook ลดริ้วรอยลำคอ
รีวิวฉีด Juvelook
รีวิวฉีด Juvelook ลดรอยแผลเป็น
รีวิวฉีด Juvelook
รีวิวฉีด Juvelook เติมเต็มหลุมสิว

Juvelook ฉีดครั้งละกี่ CC ?

Juvelook ฉีดครั้งละกี่ CC

จำนวน CC ที่ใช้ในแต่ละครั้ง ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการแก้ไขและปัญหาผิวของแต่ละบุคคล ซึ่งหมอจะประเมินตามความเหมาะสมในแต่ละเคส แต่ถ้าใครที่ต้องการทราบจำนวน CC คร่าว ๆ หมอจะยกตัวอย่างให้ครับ

ฉีดเพื่อต้องการลดเลือนริ้วรอยและยกกระชับผิว

  • บริเวณที่ฉีด เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา หรือหน้าผาก
  • ปริมาณที่แนะนำ ใช้ครั้งละ 1 ขวด 1-3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับระดับความลึกของริ้วรอยหรือตำแหน่งที่ฉีด

ฉีดเพื่อแก้หลุมสิวหรือรอยแผลเป็นเล็ก ๆ

  • บริเวณที่ฉีด เช่น หลุมสิวบนใบหน้า หรือรอยแผลเป็นเฉพาะจุด
  • ปริมาณที่แนะนำ ใช้ 1 ขวดต่อครั้ง โดยแนะนำให้ฉีดซ้ำ 3-5 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การปรับสภาพผิวทั่วใบหน้า (Skin Booster)

  • ฉีดทั่วใบหน้า
  • ปริมาณที่แนะนำ ใช้ครั้งละ 1 ขวด 3-5 ครั้ง
Vsquare tips

ข้อควรรู้ : ปริมาณ Juvelook ที่ใช้ ขึ้นอยู่กับปัญหาและบริเวณที่ต้องการแก้ไข เช่น การลดริ้วรอยลึก การฟื้นฟูหลุมสิว หรือการปรับสภาพผิวทั่วใบหน้า ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อการวางแผนการฉีดที่เหมาะสมกับความต้องการ พร้อมติดตามผลอย่างสม่ำเสมอเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด


Juvelook ฉีดแล้วอยู่ได้นานแค่ไหน ?

Juvelook ฉีดแล้วอยู่ได้นาน 12-16 เดือน ในบางคนสามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีด สภาพผิวของแต่ละคน ปริมาณที่ใช้ และจำนวนครั้งที่ฉีดครับ


Juvelook ต่างกันสกินบูสเตอร์ตัวอื่นอย่างไร ?

เทียบชัด ๆ Sculptra VS Radiesse VS Juvelook VS Gouri เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?
Skinvive
Rejuran
Sculptra
Gouri
Radiesse
Meso Theraphy

Juvelook เป็นนวัตกรรมที่รวม PDLLA และ Hyaluronic Acid ในตัวเดียว เน้นกระตุ้นคอลลาเจน พร้อมเติมเต็มความชุ่มชื้นในทันที ถ้าเทียบกับสกินบูสเตอร์ตัวอื่น ๆ จะมีความต่างกันดังนี้ครับ

  • Sculptra มีส่วนประกอบหลัก คือ PLLA (Poly-L-Lactic Acid) เน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูอิ่มฟู และกระชับขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 2 ปี
  • Gouri มีส่วนประกอบหลัก คือ PCL (Polycaprolactone) เน้นกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวแบบ Glass Skin ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
  • Rejuran มีส่วนประกอบหลัก คือ PDRN (Polydeoxyribonucleotide) เน้นฟื้นฟูผิวระดับเซลล์ เติมน้ำให้ผิว เล่นแสงเหมือนกระจกเงา (Glass Skin) ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-8 เดือน
  • Skinvive มี Hyaluronic Acid (HA) เป็นส่วนประกอบหลัก เน้นเพิ่มความชุ่มชื้นในระดับชั้นผิวหนัง (Dermis) ช่วยฟื้นฟู บำรุงผิวให้ดูชุ่มชื้น อิ่มน้ำ และสุขภาพดีในระยะยาว ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 9 เดือน
  • Radiesse filler มี CaHA (Calcium Hydroxylapatite เป็นส่วนประกอบหลัก เน้นเติมเต็มริ้วรอยลึกและกระตุ้นคอลลาเจน ฉีดสร้างกรอบหน้าชัด ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 2 ปี
  • ฉีดวิตามินผิว เป็นการฉีดวิตามินเข้าสู่ร่างกายโดยตรง ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ เหมาะกับคนที่ต้องการบูสต์ร่างกาย ฟื้นฟูผิวพรรณแบบเร่งด่วน
  • เมโสหน้าใส เป็นการฉีดวิตามินเข้าผิวชั้นกลางโดยตรง ทำให้ผลเร็ว ฉีด 1 ครั้งอยู่ได้นาน 1-2 เดือน มีหลายยี่ห้อให้เลือกใช้ตามปัญหาผิวที่กังวล เช่น REVS, มาเด้คอลลาเจน, Filorga, Neo-Glutenex Glow, Tensonez และ Alpha arbutin

สรุปความแตกต่างของ Juvelook กับสกินบูสเตอร์ตัวอื่น

  • Juvelook ให้ผลลัพธ์ทั้งการเติมเต็ม เพิ่มความชุ่มชื้นและกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว
  • Sculptra เน้นกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นลึกเพื่อฟื้นฟูโครงสร้างผิว ช่วยให้ผิวแน่นฟู ยืดหยุ่น
  • Radiesse จะเห็นผลทันทีในบางส่วน จากนั้นจะฟื้นฟูผิว กระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว
  • Skinvive เหมาะสำหรับเติมน้ำให้ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ผิวเล่นแสง โกลว์ฉ่ำ
  • Rejuran & Gouri เน้นบำรุงผิวอิ่มฟู หน้าเด้ง ผิวกระจก
Vsquare tips

ข้อควรรู้ : Skin Booster หรือ Collagen Biostimulator แต่ละยี่ห้อ ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน หมอแนะนำให้เลือกจากปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข สภาพผิว และดูจากความต้องการ ว่าต้องการเห็นผลลัพธ์แบบไหน เร็วแค่ไหน หรือปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับสภาพผิวของคนไข้ครับ


Juvelook ราคาเท่าไหร่ ?

Juvelook ราคา

Juvelook ราคาขึ้นอยู่กับคลินิก และโปรโมชั่นที่จัดให้ในแต่ละช่วง โดยราคาเฉลี่ยต่อขวดจะอยู่ที่ประมาณ 15,000.-/ขวด (ขนาด 6 CC) ครับ

คำแนะนำเรื่องค่าใช้จ่าย

  • ควรวางแผนการรักษาอย่างน้อย 3 ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • สอบถามโปรโมชั่นจากคลินิกให้ชัดเจน
  • เลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและราคาสมเหตุสมผล
  • ระวังการฉีด Juvelook ราคาที่ถูกผิดปกติ เพราะเสี่ยงเจอของปลอม ไม่ได้มาตรฐาน

ฉีด Juvelook ที่ไหนดี เลือกคลินิกอย่างไรให้ปลอดภัย ?

ฉีด Juvelook ที่ไหนดี
  • เลือกคลินิกที่ได้รับการรับรองจาก กระทรวงสาธารณสุข มีป้ายประกาศนียบัตรหรือเลขที่ใบอนุญาตชัดเจน
  • ควรเป็นแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพ และมีประสบการณ์ในการฉีด Juvelook
  • ควรตรวจสอบผลิตภัณฑ์ Juvelook ว่าเป็นของแท้จากผู้จัดจำหน่ายที่ได้รับการรับรอง คนไข้สามารถเช็ก QR Code บนกล่องเพื่อยืนยันความถูกต้อง
  • คลินิกควรมีความสะอาด ปลอดเชื้อ และมีอุปกรณ์เครื่องมือที่ทันสมัย
  • ดูรีวิวจากลูกค้าคนอื่น ๆ หรือสอบถามจากผู้เคยใช้บริการจริง เพื่อดูความน่าเชื่อถือของคลินิก
  • คลินิกควรมีบริการติดตามผลการรักษาหลังการฉีด เพื่อให้คำแนะนำในการดูแลอย่างถูกต้อง

ข้อปฏิบัติก่อน – หลัง ฉีด Juvelook

การดูแลตัวเองก่อนและหลังฉีด Juvelook ที่ดี จะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดี และลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งหมอมีข้อแนะนำดังนี้ครับ

การเตรียมตัวก่อนฉีด Juvelook

  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรด AHA/BHA หรือ Retinol อย่างน้อย 3 วันก่อนการฉีด
  • ควรงดการสัมผัสแสงแดดจัดหรือความร้อน เช่น การทำซาวน่า ก่อนการฉีด 1-2 วัน
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงก่อนการฉีด เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดรอยช้ำ

การดูแลตัวเองหลังฉีด Juvelook

  • หลีกเลี่ยงความร้อนและแสงแดด เช่น ซาวน่า หรือโยคะร้อน ในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังฉีด
  • หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าในบริเวณที่ฉีด 24 ชั่วโมงแรก เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  • ห้ามนวดหรือกดแรงบริเวณที่ฉีดในช่วงแรก
  • งดการออกกำลังกายที่ทำให้เหงื่อออกมากในช่วง 1-2 วันแรก
  • งดดื่มแอลกอฮอล์หลังฉีด 1-2 สัปดาห์ เพราะแอลกอฮอล์อาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น รอยแดง อาการบวม รอยฟกช้ำ อาการคัน และอาการปวด

ผลข้างเคียงหลังฉีด Juvelook

หลังฉีด Juvelook อาจมีอาการบวมได้เป็นปกติ สามารถหายได้เองใน 1-2 วัน คนไข้สามารถรับประทาน Antihistamine หรือ NSAIDs เพื่อลดอาการบวมได้ครับ

แต่หากหลังฉีดแล้วเป็นก้อน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการนำไปใช้ไม่ถูกวิธี เช่น การผสมตัวยาที่เข้มข้นเกินไป, การฉีดตื้นเกินไป หรือการใช้เวลาในการผสมไม่เพียงพอ หากมีอาการเหล่านี้สามารถแก้ไขได้โดย

  • ฉีด NSS ปริมาณเล็กน้อยในบริเวณที่มีอาการ
  • ใช้ความร้อนจากคลื่น RF (Radiofrequency) หรือนวดด้วยมือ
  • หากเป็นก้อนนานเกิน 3 เดือน ให้ฉีด Betamethasone และติดตามทุกสัปดาห์จนกว่าจะหาย

หากมีอาการที่ไม่ดีขึ้นหรือเกิดอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อรับการดูแลที่เหมาะสมครับ


วิธีตรวจเช็ก Juvelook ของแท้

วิธีตรวจเช็ก Juvelook ของแท้ หมอมี 5 จุดสังเกตง่าย ๆ มาแนะนำครับ

1. ตรวจสอบ QR CODE บนสติกเกอร์โฮโลแกรม

  • ด้านข้างกล่องจะมี สติกเกอร์โฮโลแกรม ให้ขูดเพื่อเปิด QR CODE
  • สแกน QR CODE ด้วยโทรศัพท์มือถือ หลังสแกนแล้วควรมีข้อความแจ้งว่า “ผลิตภัณฑ์นี้เป็นของแท้”
  • หากสแกนแล้วพบว่ามีการใช้งานซ้ำหรือมีสัญลักษณ์กากบาท (❌) ให้ระวังว่าอาจเป็นของปลอม

2. ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นกล่องแพ็กเกจใหม่

  • กล่องของแท้จะถูกออกแบบมาสำหรับจำหน่ายในประเทศไทยโดยเฉพาะ
  • กล่องมีลักษณะเรียบร้อย มีข้อความภาษาไทยชัดเจน และซีลอย่างดี
  • สังเกตการพิมพ์รายละเอียดบนกล่อง เช่น ชื่อผลิตภัณฑ์และข้อมูลการจัดจำหน่าย

3. โลโก้ บริษัท จูวีเทค จำกัด

  • ตรวจสอบด้านข้างกล่องต้องมีโลโก้ “บริษัท จูวีเทค จำกัด” ซึ่งเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างถูกต้องแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
  • โลโก้ต้องชัดเจน ไม่เลือนลาง หรือบิดเบี้ยว

4. ตรวจสอบฉลากภาษาไทย

  • บริเวณด้านข้างกล่องต้องมีรายละเอียดภาษาไทย ระบุข้อมูลดังนี้
    • วิธีการเก็บรักษา
    • คำเตือนในการใช้
    • ชื่อและที่อยู่ผู้นำเข้า
    • ข้อมูลทั้งหมดต้องชัดเจน อ่านง่าย ไม่มีการพิมพ์ผิดหรือตกหล่น

5. ตรวจสอบเลขทะเบียน อย.

  • ผลิตภัณฑ์ Juvelook ของแท้จะมีเลขทะเบียน อย. ที่ออกโดยหน่วยงานราชการกำกับ
  • ตรวจสอบเลขทะเบียน อย. บนกล่อง โดย Juvelook จะมีเลขทะเบียน 66-2-1-001170
  • เลขทะเบียนต้องตรงกับข้อมูลในฐานข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

หากไม่มั่นใจ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ Line Official: @juvetek หรือ Website www.juvetekglobal.com/clinic


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Juvelook

ฉีด Juvelook เจ็บไหม ?

การฉีด Juvelook ไม่เจ็บครับ เนื่องจากเข็มที่ใช้ฉีดมีขนาดเล็กมาก และก่อนฉีดจะมีการทายาชาเพื่อบรรเทาความเจ็บ คนไข้ที่กลัวเจ็บ ไม่ต้องกังวลครับ

ฉีด Juvelook ร่วมกับฟิลเลอร์ และ โบท็อกได้ไหม ?

Juvelook สามารถฉีดร่วมกับ ฟิลเลอร์ และ โบท็อก ได้ครับ เพราะฉีดคนละชั้นผิว แต่ก่อนฉีดต้องมีการวางแผนจากแพทย์ เพื่อเลือกลำดับการฉีดตามความเหมาะสม

ส่วนหัตถการอื่น ๆ เช่น

  • ถ้าฉีด Sculptra, CaHa, Gouri มาแล้วควรเว้นระยะ 3-6 เดือน จึงสามารถมาฉีด Juvelook ได้
  • ถ้ามีหัตถการจากการทำเลเซอร์ หรือทรีนเม้นท์ฉีดผิวชนิดต่าง ๆ ควรทำหัตถการอื่น ๆ ก่อน และค่อยทำ Juvelook
  • สามารถยกกระชับด้วย Thermage FLX, Ulthera และ Ultraformer ร่วมกันได้ โดยทำหัตถการกลุ่มเครื่องยกกระชับก่อน

ฉีด Juvelook รักษาหลุมสิวได้ไหม ?

Juvelook สามารถรักษาหลุมสิวได้ครับ แต่ต้องเป็นหลุมสิวที่ไม่ลึกมาก หลังฉีดหลุมสิวดูตื้นขึ้น ผิวหน้าเรียบเนียน โดย แนะนำให้ฉีดต่อเนื่อง 3-5 ครั้ง หรือตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อผลลัพธ์ที่ดี

ฉีด Juvelook บวมกี่วัน ?

หลังจากฉีด Juvelook อาจมีอาการบวมเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด ซึ่งถือเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกาย อาการบวมนี้มักจะหายไปภายใน 1-2 วัน ในบางกรณีที่ผิวมีความไวหรือบริเวณที่ฉีดมีลักษณะเฉพาะ เช่น ใต้ตา อาจมีอาการบวมเล็กน้อยต่อเนื่องถึง 3-5 วัน


สรุป ฉีด Juvelook คุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่ได้ไหม ?

Juvelook เป็น Biostimulator ที่เด่นด้านการเติมเต็ม และการกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวได้รับการฟื้นฟูทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ช่วยให้ผิวเต่งตึง กระชับ ชุ่มชื้น และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

หากใครที่กำลังมองหาวิธีแก้ปัญหาผิวที่เห็นผล เจ็บตัวน้อย และให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน Juvelook คือ อีกหนึ่งตัวเลือกที่คุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่ได้ครับ


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ

Banner_Web_หมอให้คำปรึกษา_หมอ40คน
Skinvive

Skinvive คืออะไร ? เหมาะกับใคร ? ต่างจากฟิลเลอร์และงานผิวตัวอื่นอย่างไรบ้าง ?

Categories
Skin Booster
Skinvive

Skinvive ตัวช่วยผิวสวยฉ่ำวาวยาวนานถึง 9 เดือน

อัปเดตเทรนด์งานผิว Skinvive คืออะไร ? ดีไหม ?

Skinvive (สกินวิฟฟ์) เป็นฟิลเลอร์งานผิวตัวใหม่จากอเมริกา ที่พัฒนามาเพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้นอย่างเต็มรูปแบบ ตอบโจทย์ผู้ที่อยากให้ผิวดูอิ่มน้ำสวยฉ่ำวาว สุขภาพดีตามเทรนด์งานผิวในตอนนี้เลยครับ

โดย Skinvive มีหลักการทำงานอย่างไร ? ช่วยอะไรได้บ้าง ? ต่างจากฟิลเลอร์และงานผิวตัวอื่นอย่างไร ?เหมาะกับใคร ? ราคาเท่าไร ? หมอได้รวมข้อมูลที่น่าสนใจของสกินวิฟฟ์มาไว้ในบทความนี้แล้วครับ

สารบัญ Skinvive


การฉีด Skinvive คืออะไร ? มีหลักการทำงานอย่างไร ?

Skinvive คือ นวัตกรรมงานผิวที่ออกแบบมาเพื่อฟื้นฟู เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวโดยเฉพาะ มีการพัฒนาต่อยอดมาจากฟิลเลอร์ Juvederm Volite โดยบริษัท Allergan ประเทศอเมริกาที่มีชื่อเสียงในด้านผลิตภัณฑ์ความงามมากมาย เช่น เครื่อง Coolsculpting สลายไขมัน หรือ โบท็อกยี่ห้อ Allergan

skinvive

ส่วนประกอบของ Skinvive

Skinvive มีส่วนประกอบหลัก คือ ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) รูปแบบไมโครดรอปเล็ต (Microdroplets of Hyaluronic Acid) ที่มีความพิเศษเฉพาะตัว โมเลกุลเล็ก ละเอียด สามารถกระจายตัวในชั้นผิวได้อย่างทั่วถึง ช่วยกักเก็บน้ำให้ผิวได้มากกว่าสกินบูสเตอร์ทั่วไป 3 เท่า ส่งผลให้ผิวดูอิ่มน้ำเปล่งปลั่งมากกว่าการฉีด HA แบบทั่วไป

หลักการทำงานของ Skinvive

การทำงานของ Skinvive

การทำงานของ Skinvive เกิดจากการผสานกันระหว่าง Microdroplets of HA กับ Aquaporin-3 (APQ3) ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการเติมความชุ่มชื้น และฟื้นฟูผิวได้อย่างล้ำลึก

โดยเมื่อฉีด Skinvive เข้าไปชั้นผิวในผิวชั้นตื้น หรือชั้นหนังแท้ (Dermis) ด้วยเทคนิค Microinjection ทำให้สารกระจายตัวได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่เป็นก้อน โดย Microdroplets of HA ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นและอุ้มน้ำได้ถึง 1,000 เท่าของน้ำหนักตัว ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น อิ่มน้ำ

และ HA ยังเข้าไปช่วยเสริมการทำงานการส่งน้ำให้เซลล์ผิวของ Aquaporin-3 ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญ ที่มีหน้าที่เหมือนประตูควบคุมการเข้าออกของน้ำ และกลีเซอรอลระหว่างเซลล์ผิวชั้นลึก จึงช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นยาวนานครับ

การฉีด Skinvive จึงให้ผลลัพธ์แบบ Dual effect ครับ คือ กักเก็บความชุ่มชื้น และช่วยให้ผิวชุ่มชื้นจากภายในสู่ภายนอกอย่างยาวนานถึง 9 เดือน


Skinvive คือ Filler หรือ Skin Booster ?

Skinvive คือ ฟิลเลอร์ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Filler Skin booster หรือฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวครับ มีความแตกต่างกับฟิลเลอร์ทั่วไปในด้านวิธีการทำงานและจุดประสงค์ในการฉีด

Skinvive แตกต่างกับฟิลเลอร์ทั่วไปอย่างไร ?

ฟิลเลอร์ทั่วไปใช้ในการเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก เพิ่มวอลลุ่ม ปรับโครงสร้างใบหน้าให้ดูมีมิติ เช่น เติมเต็มร่องแก้ม ร่องมุมปาก ปรับรูปทรงคาง ส่วน Skinvive จะเน้นการฟื้นฟูและเพิ่มความชุ่มชื้นผิวจากภายใน โดยมีจุดเด่น ดังนี้

  • เป็นสารเติมเต็มอยู่ในรูปแบบ Microdroplets of Hyaluronic Acid
  • ลักษณะเนื้อฟิลเลอร์ละเอียดระดับไมโคร กระจายตัวได้ดี
  • เหมาะกับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม
  • เน้นช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ไม่ได้ทำให้โครงหน้าเปลี่ยนรูปจากเดิม

ฉีด Skinvive ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

Skinvive เด่นในเรื่องเติมและกักเก็บความชุ่มชื้นครับ เมื่อฉีดเข้าใต้ชั้นผิวจะช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำฉ่ำวาว กระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ และปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวมให้ดีขึ้น นอกจากนี้สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวขาดน้ำ ลดปัญหาหน้ามัน และกระชับรูขุมขนให้ผิวดูเรียบเนียน

skinvive รีวิว

การฉีดสกินวิฟฟ์ เหมาะกับใครบ้าง ?

ฉีดสกินวิฟฟ์ เหมาะกับใคร
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น
  • ผู้ที่มีผิวหน้ามัน รูขุมขนกว้างไม่กระชับ แต่งหน้าไม่ติด
  • ผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ บนผิว หรือรอยย่นเล็ก ๆ ที่เกิดจากผิวแห้งขาดน้ำ
  • ผู้ที่ผิวอ่อนแอ แพ้ง่าย ต้องการเพิ่มความแข็งแรงให้ผิว
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูดูสุขภาพดี อยากมีผิวกระจก
  • ผู้ที่ไม่มีเวลาบำรุงผิว หรือดูแลตัวเอง ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว

Skinvive สามารถฉีดบริเวณไหนได้บ้าง ?

Skinvive เป็นสกินบูสเตอร์ที่ออกแบบมาให้ฉีดได้ทุกสภาพผิว และหลายบริเวณทั่วใบหน้าหรือเฉพาะจุดที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น

  • หน้าผาก
  • ใต้ตา
  • หน้าแก้ม
  • ริมฝีปาก

นอกจากนี้ยังสามารถฉีดบริเวณหลังมือ ลำคอ และเนินอก ที่มักเริ่มสูญเสียความชุ่มชื้น ผิวเริ่มแห้งกร้าน มีริ้วรอยเมื่ออายุมากขึ้น


Skinvive ฟื้นฟูผิว ราคาเท่าไหร่ ?

ราคา Skinvive ขึ้นอยู่กับจำนวน CC ที่ใช้ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 12,xxx.-/CC ขึ้นอยู่กับโปรโมชันของแต่ละคลินิก

ที่ V Square Clinic Skinvive ราคาโปรโมชันอยู่ที่ 12,900.-/1 CC ครับ

ราคา skinvive

การเตรียมตัวก่อน – หลังฉีดสกินวิฟฟ์

การเตรียมตัวก่อนฉีดและวิธีดูหลังฉีด Skinvive ไม่ได้ต่างจากการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป และหลังฉีดอาจมีอาการบวม รอยแดง ตุ่มเล็ก ๆ สามารถหายได้เองใน 3-5 วันครับ

หมอแนะนำให้ปฏิบัติตามข้อควรดังต่อไปนี้ เพื่อป้องกันอาการบวม อาการอักเสบ และช่วยให้ Skinvive ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนฉีด Skinvive

  • งดการทายา วิตามิน อาหารเสริมบางชนิดที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, NSAIDs, วิตามิน St. John’s Wort, Ginkgo Biloba, Primrose Oil, Garlic, Ginseng และวิตามิน E
  • งดการโกนขน การถอนขน และการทายาผลัดเซลล์ผิวบริเวณที่จะฉีด
  • งดเข้าคอร์สเลเซอร์และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วันก่อนทำ
  • เลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายอย่างหนัก 24 ชม. ก่อนฉีด

การดูแลตัวเอง – ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด Skinvive

  • เลี่ยงการสัมผัส กด นวด ถูบริเวณที่ฉีด Skinvive
  • เลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก เลี่ยงการโดนความร้อน เช่น ซาวน่า 48 ชม. หลังฉีด
  • เลี่ยงการโดนแสงแดดจัด และหมั่นทาครีมกันแดดที่มี SPF สูง
  • เลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่
  • งดการเลเซอร์ร้อนลงผิวชั้นลึกอย่างน้อย 1 เดือน
  • ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อช่วยให้อาการบวมยุบเร็ว และสาร HA ใน Skinvive ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

เปรียบเทียบ Skinvive by Juvederm กับงานผิวยี่ห้ออื่น ๆ

ปัจจุบันเทรนด์งานผิวกระจก หรือผิวสวยแบบธรรมชาติกำลังมาแรง ทำให้หัตถการงานผิวจึงเป็นที่นิยมมากขึ้น

นอกจาก Juvederm Skinvive แล้ว ยังมีงานผิวตัวอื่น ๆ ที่ช่วยเรื่องผิวสวยฉ่ำวาวออกมาหลายตัว โดยแต่ละหัตถการมีความแตกต่างกันในด้านสารประกอบหลัก และกลไกการทำงาน ดังนี้

  • กลุ่มสารกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen Biostimulator) เน้นการกระตุ้นสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูโครงสร้างผิว ให้ผิวกระชับเต่งตึงในระยะยาว
    • Sculptra Poly-L-Lactic (PLLA) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Collagen Type I สูงถึง 66.5% ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง ยกกระชับผิวแน่น อิ่มฟู
    • Gouri สาร PLC หรือไหมน้ำ ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนทั่วใบหน้า ปรับสภาพผิวให้แข็งแรง แน่นกระชับมากขึ้น
    • Radiesse มีส่วนประกอบหลักเป็น CaHA (Calcium Hydroxyapatite) ช่วยฟื้นฟู Fibroblast ทำให้เกิดการกระตุ้นคอลลาเจน Type 1 และ 3 เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวแน่นกระชับ

คลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติม

Sculptra
Gouri
Radiesse
  • ฟิลเลอร์ Skin Booster อยู่ในประเภทเดียวกับ Skinvive แต่ต่างกันที่เทคโนโลยีผลิต ดังนี้ครับ
    • Restylane Vital Light จากสวีเดน ผลิตด้วย NASHA Technology เนื้อเจลอนุภาคเล็ก ละเอียดมากที่สุด หลังฉีดจะช่วยให้ผิวอุ้มน้ำได้ดีขึ้น ผิวชุ่มชื้นขึ้น
    • Belotero Revive จากสวิตเซอร์แลนด์ มีการผสมผสานระหว่าง HA+Glycerol ออกแบบมาเพื่อปรับสภาพผิวโดยเฉพาะ ช่วยฟื้นฟูผิวได้ถึง 4 มิติ ได้แก่ ความเรียบเนียน อิ่มฟู เด้งกระชับ ชุ่มชื้นฉ่ำวาว
  • Rejuran งานผิวยอดฮิตจากเกาหลี สารประกอบหลักที่ใช้คือ PDRN สกัดมาจาก DNA Salmon มีคุณสมบัติในการช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิว สร้างผิวกระจกสวยฉ่ำวาว
  • Exosome คือ สารชีวโมเลกุลมากกว่า 1,000 ชนิด ที่ปล่อยออกจาก Stem Cell ช่วยฟื้นฟูการทำงานของเซลล์ให้กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนมากขึ้น และซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหาย ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสและเรียบเนียนขึ้น
งานผิวล่าสุดจากเกาหลี Exosome ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?
  • เมโสหน้าใส เป็นการฉีดวิตามินและสารที่มีประโยชน์ต่อผิวเข้าสู่ผิวชั้นกลางโดยตรง เห็นผลไวกว่าการทาครีมบำรุง มีให้เลือกหลายสูตร หลายยี่ห้อครับ โดยยี่ห้อเมโสที่ได้รับความนิยมและหลายคนน่าจะคุ้นเคยกันคือ การฉีดมาเด้คอลลาเจน 16 จุด ช่วยลดปัญหาสิว ผดผื่น แก้ปัญหาผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย
  • ฉีดวิตามินผิว หรือดริปวิตามินผิว เป็นการนำวิตามิน สารอาหาร แร่ธาตุเข้าสู่ร่างกายโดยตรงผ่านหลอดเลือดดำ โดยนอกจากจะช่วยเรื่องผิวสวยใสได้แล้ว ยังช่วยด้านความสุขภาพ ลดอาการอ่อนเพลีย จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวและบูสต์ร่างกายไปพร้อม ๆ กัน

หัตถการที่หมอได้กล่าวไปข้างต้น ล้วนเป็นหัตถการงานผิวที่ได้รับความนิยมอยู่ในตอนนี้ โดย Skinvive สามารถทำร่วมกับหัตถการเหล่านี้ได้ ทั้งยังเป็นการช่วยเสริมประสิทธิภาพของหัตถการต่าง ๆ เช่น โบท็อก ฟิลเลอร์ ให้ดีขึ้นด้วยครับ

หรือใครที่อยากทำหัตถการกลุ่มสารกระตุ้นคอลลาเจน สามารถฉีด Skinvive เพื่อเป็นการเตรียมผิวก่อนได้ในครั้งแรกครับ โดยแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์เรียงลำดับขั้นตอนการทำหัตถการและเว้นระยะห่างในการทำอย่างเหมาะสม


เลือกคลินิกฉีด Skinvive ที่ไหนดี ? ต้องพิจารณาอะไรบ้าง ?

  • คลินิกความงามที่มีใบอนุญาต 11 หลักจากกระทรวงสาธารณสุข เปิดให้บริการถูกกฎหมาย
  • บรรยากาศภายในคลินิกมีความสะอาด ไม่แออัด ห้องหัตถการแบ่งเป็นสัดส่วน
  • ใช้ Skinvive ที่ได้มาตรฐาน นำเข้าถูกต้อง สามารถตรวจสอบกับบริษัทที่นำเข้าได้
  • มีทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ เป็นผู้ประเมินปัญหาและวางแผนรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
  • มีการติดตามผลหลังทำ และมีช่องทางติดต่อที่สะดวกและหลากหลาย

Q & A เกี่ยวกับ Skinvive เพิ่มเติม

Q. Skinvive อันตรายไหม ตกค้างในร่างกายหรือไม่ ?

Skinvive เป็นฟิลเลอร์สาร Hyaluronic Acid สามารถสลายได้ตามธรรมชาติ ไม่ตกค้างในร่างกายครับ อีกทั้ง Skinvive ได้รับรองจาก อย. อเมริกา (U.S FDA) และอย.ไทย (TH FDA) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเชื่อมั่นได้ในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยครับ

Q. ฉีด Skinvive กี่วันเห็นผลลัพธ์ ?

หลังฉีด Skinvive เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีว่าผิวที่แห้งกร้าน ดูหมองคล้ำ มีความชุ่มชื้น ดูอิ่มน้ำมากขึ้น และจะเห็นผลชัดเจนที่สุดประมาณ 2 สัปดาห์หลังทำ

Q. ผลลัพธ์หลังฉีด Skinvive อยู่ได้นานไหม ?

หลังฉีด Skinvive ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-9 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลและสภาพผิวของแต่ละคน สามารถกลับมาทำได้ต่อเนื่องทุก 6-12 เดือน เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิวสวยฉ่ำอยู่เสมอ

Q. ต้องใช้ Skinvive กี่ CC จึงจะเห็นผล ?

โดยทั่วไปจะใช้ประมาณ 2-4 CC ซึ่งแพทย์จะประเมินตามระดับปัญหา ตำแหน่งที่ฉีด และผลลัพธ์ที่ต้องการ

หากมีปัญหาผิวเล็กน้อย ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวดูอิ่มน้ำ ใช้ประมาณ 2 CC แต่สำหรับคนที่ผิวแห้งขาดน้ำมาก มีรูขุมขนกว้าง อาจใช้ 4 CC เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน


สรุปเรื่อง Skinvive ดีไหม ? คุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่ได้ไหม ?

Skinvive เป็นนวัตกรรมงานผิวอีกตัวที่น่าสนใจครับ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณสมบัติโดดเด่นยิ่งขึ้นจากเดิม โดยเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้น ฉ่ำวาวแบบธรรมชาติ ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

การฉีด Skinvive ให้ผลลัพธ์คุ้มราคาครับ เพราะสามารถช่วยเติมความชุ่มชื้น ช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำและสุขภาพดีได้อย่างยาวนาน เห็นผลทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และมีความปลอดภัยสูง


อ้างอิง


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ

Banner_Web_หมอให้คำปรึกษา_หมอ40คน