ไฮยาลูรอน คืออะไร ? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? อันตรายไหม ?

Categories
knowledge
เจาะลึกไฮยาลูรอนช่วยเรื่องอะไร

ไฮยาลูรอน 

ไฮยาลูรอน (Hyaluron) เป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ และมีการผลิตเลียนแบบเพื่อใช้ประโยชน์ในหลายรูปแบบครับ โดยเฉพาะในเรื่องความสวยความงาม ที่รู้จักกันดี เช่น ฟิลเลอร์ เป็นไฮยาลูรอนหรือไฮยาลูโรนิค แอซิด ที่มาในรูปแบบการฉีด ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอย เติมเต็มใบหน้าได้หลายตำแหน่ง เช่น ฟิลเลอร์ใต้ตา ร่องแก้ม หน้าผาก ปาก คาง 

ส่วนไฮยาลูรอนในรูปแบบของการทา ส่วนใหญ่จะเป็นเซรั่มไฮยา หรือครีมไฮยาลูรอน นอกจากนี้ไฮยาลูรอนยังถูกนำมาใช้เพื่อรักษาโรค เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม โรคต้อกระจก และอื่น ๆ ก่อนใช้ไฮยาลูรอนไม่ว่าจะรูปแบบไหน มาทำความรู้จักไฮยาลูรอนให้มากขึ้นกันครับในบทความนี้  

Hyaluron โดยหมอซี

สารบัญ ไฮยาลูรอน 

  1. ไฮยาลูรอน คืออะไร ?
  2. ไฮยาลูรอน ทำมาจากอะไร ?
  3. ไฮยาลูรอน มีกระบวนการทำงานอย่างไร ?
  4. ไฮยาลูรอนใช้ทำอะไรได้บ้าง ?
  5. ไฮยาลูรอนมีประโยชน์อย่างไร ?
  6. ถ้าร่างกายขาดไฮยาลูรอนจะเป็นอย่างไร ?
  7. ไฮยาลูรอนในร่างกายเสื่อมลงได้อย่างไร ?
  8. วิธีป้องกันไฮยาลูรอนในร่างกายเสื่อม ทำอย่างไร ?
  9. ไฮยาลูรอนอันตรายไหม ? 
  10. ไฮยาลูรอนเหมาะกับใคร ? 
  11. ไฮยาลูรอนไม่เหมาะกับใคร ? 
  12. ไฮยาลูรอนของแท้ของปลอมดูอย่างไร ? 
  13. ไฮยาลูรอนมีผลข้างเคียงไหม ? 
  14. ไฮยาลูรอนอยู่ได้นานไหม ? 
  15. ไฮยาลูรอนกินได้ไหม ? 

ไฮยาลูรอน คืออะไร ?

ไฮยาลูรอน ถูกเรียกในหลาย ๆ ชื่อ เช่น กรดไฮยาลูรอน, ไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือเอชเอ (HA) คือ สารชนิดหนึ่งที่ร่างกายของเราสามารถผลิตได้เองตามธรรมชาติ แต่พออายุมากขึ้น ๆ ไฮยาลูรอนจะผลิตลดลงเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับคอลลาเจนและอิลาสตินที่มีอยู่ในชั้นผิว ทำให้ผิวที่เคยดูอ่อนเยาว์ ยืดหยุ่น กระชับ เรียบเนียน เต่งตึง เริ่มเสื่อมสภาพ มีริ้วรอยเหี่ยวย่น โดยค่าเฉลี่ยของคนทั่วไป ผิวจะเริ่มเสื่อมเมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป   

ไฮยาลูรอน คืออะไร

ในทางการแพทย์จึงมีการผลิตไฮยาลูรอนสังเคราะห์ขึ้นมา เพื่อทดแทนในส่วนที่ร่างกายสร้างขึ้นได้น้อยลง ช่วยรักษาคุณภาพของผิวให้ดูอ่อนเยาว์ได้ยาวนาน  


ไฮยาลูรอน ทำมาจากอะไร ?

ไฮยาลูรอน เป็นโมเลกุลของน้ำตาลชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่าพอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharide) มีอยู่ในเนื้อเยื่อของร่างกาย และร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เองตามธรรมชาติ โดยจะอยู่ในผิวชั้นหนังแท้ พบได้ทั่วไปกว่า 80% 

ไฮยาลูรอนสามารถผลิตได้จากการสังเคราะห์เชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส (Streptococcus) มีคุณสมบัติช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่น และมีความคงตัว จึงสามารถนำมาใช้เพื่อปรับโครงสร้างใบหน้า ได้อย่างปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) และ อย.ไทย  


ไฮยาลูรอน มีกระบวนการทำงานอย่างไร ? 

ไฮยาลูรอนถูกสร้างขึ้นระหว่างบริเวณผิวชั้นล่างหรือชั้นหนังแท้ และผิวชั้นบนหรือชั้นหนังกำพร้าที่เชื่อมต่อกัน โดยจะกระจายตัวอยู่ทั่ว เป็นตัวช่วยที่ทำให้คอลลาเจนและอิลาสตินทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เป็นกระบวนการทำงานตามธรรมชาติของร่างกาย ที่ทำให้ผิวชุ่มชื้น ดูสดใส ไร้ริ้วรอย    

ไฮยาลูรอนสังเคราะห์ที่ถูกคิดค้นขึ้นมา มีสภาพใกล้เคียงไฮยาลูรอนตามธรรมชาติครับ กระบวนการทำงานหลัก ๆ ไม่ว่าจะใช้ในรูปแบบทาหรือฉีด ก็เพื่อทดแทนไฮยาลูรอนที่ผลิตได้น้อยลง โดยผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกัน ตามขนาดโมเลกุลและความเข้มข้นที่ใช้ และด้วยความสามารถในการดูดซับน้ำได้ดี จึงถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญ ใช้ในวงการเสริมความงาม เช่น ฟิลเลอร์ หรือเป็นส่วนผสมในสกินแคร์


ไฮยาลูรอนใช้ทำอะไรได้บ้าง ? 

  • ครีมไฮยาลูรอน/ไฮยาลูรอนเซรั่ม หลายยี่ห้อมักมีส่วนประกอบของไฮยาลูรอน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ความยืดหยุ่นให้แก่ผิว โดยมีการพัฒนาทำให้กรดไฮยาลูรอนมีขนาดโมเลกุลเล็กลง เพื่อให้ซึมเข้าสู่ผิวได้จากภายนอก
  • ฟิลเลอร์ (Fillers) หรือสารเติมเต็ม มีไฮยาลูรอนเป็นส่วนประกอบหลัก ใช้ฉีดเพื่อเติมเต็มร่องลึก หรือเสริมในชั้นผิวหนัง กักเก็บความชุ่มชื้น ช่วยลดริ้วรอย ปรับรูปหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ เทียบกับการทาครีมหรือ Hyaluron เซรั่ม แบบทั่วไปแล้ว การฉีดฟิลเลอร์ เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและเห็นผลลัพธ์ดีกว่า  
ฉีดฟิลเลอร์ โดยหมอรุ้ง
  • ไซโตแคร์ (Cytocare) ก็มีส่วนประกอบของไฮยาลูรอน วิตามินและสารสกัดจากธรรมชาติ ฉีดเพื่อช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวอุ้มน้ำและมีความชุ่มชื้น ฟื้นฟูผิวกระจ่างใส นิยมฉีดแก้ปัญหาเฉพาะจุด เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม แต่ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 1-2 เดือน ต้องฉีดซ้ำเรื่อย ๆ  
  • วิตามิน/อาหารเสริม Hyaluronic Acid ผลิตออกมาในรูปแบบเม็ด โดยมีปริมาณความเข้มข้นของไฮยาลูรอนแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น คอลลาเจน และสารสกัดต่าง ๆ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณที่แห้งกร้านให้ชุ่มชื้น นุ่มลื่นขึ้น   
  • รักษาโรค U.S.FDA อนุมัติให้ใช้ไฮยาลูรอนิค แอซิด ในการรักษาโรคบางชนิด เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม โรคต้อกระจก บรรเทาอาการตาแห้ง รักษาแผลในปาก และสมานแผลไฟไหม้ 

ไฮยาลูรอนมีประโยชน์อย่างไร ? 

ถ้าจัดกลุ่มประโยชน์ไฮยาลูรอน แบ่งออกได้ 3 หัวข้อ ครับ 

1. ประโยชน์ในการลดริ้วรอย

ไฮยาลูรอนช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในผิว จึงมีการนำมาเป็นส่วนผสมในครีมลดริ้วรอย เซรั่มไฮยาลูรอน ครีมไฮยาลูรอน รวมถึงฟิลเลอร์

ปัจจุบันการฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการยอดนิยมในคลินิกเสริมความงามครับ สามารถเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก ผิวเต่งตึง เรียบเนียน และปรับรูปหน้าได้หลายตำแหน่ง เช่น 

ตำแหน่งฉีดฟิลเลอร์

2. ประโยชน์ไฮยาลูรอนในการให้ความชุ่มชื้น

นอกจากจะเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก และปรับรูปหน้า ยังสามารถใช้ฟิลเลอร์ปรับสภาพผิวให้ดูสุขภาพดีขึ้นได้ด้วยครับ ไฮยาลูรอนยี่ห้อไหนดี ? ถ้าต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอิ่มน้ำ หมอแนะนำฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เช่น Juvederm Volite, Restylane Vital, Restylane Vital Light และ Belotero Revive   

3. ประโยชน์ไฮยาลูรอนในการรักษาโรค 

U.S.FDA อนุมัติให้มีการใช้ไฮยาลูรอนในการฉีดรักษาและป้องกันโรค เช่น 

  • โรคข้อเข่าเสื่อม  
  • ภาวะอักเสบรอบข้อไหล่  
  • ป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก จากโรคกระดูกพรุน  
  • ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดบริเวณข้อ
  • รักษาตาต้อกระจก ตาแห้ง
  • รักษาแผลในปาก
  • สมานแผลไฟไหม้ 

ถ้าร่างกายขาดไฮยาลูรอนจะเป็นอย่างไร ? 

ผิวหน้า : ใบหน้าหมองคล้ำ แห้งกร้าน ขาดน้ำ สูญเสียความชุ่มชื้น เมื่อทาครีมหรือบำรุงผิว จะรู้สึกว่าตัวครีมไม่ซึมลงสู่ผิว ทาครีมแล้วไม่ค่อยได้ผล ซึ่งหากไม่แก้ไข ปล่อยให้ผิวขาดไฮยาลูรอนมาก ๆ จะส่งผลให้เกิดริ้วรอย ร่องลึก และทำให้ผิวแก่เร็วขึ้น

ผิวคอ : ริ้วรอยที่คอ (Necklace Line) หรือรอยพับ รอยขีดเส้น ๆ บริเวณคอ พบบ่อยเมื่ออายุมากขึ้น เพราะไฮยาลูรอน คอลลาเจนและอิลาสตินลดลง ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่กระชับ เรียบเนียน

ผิวมือ : ผิวสูญเสียคอลลาเจน ทำให้ผิวแห้ง ขาดความยืดหยุ่น เกิดริ้วรอยได้ง่าย ไม่เฉพาะผิวหน้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบริเวณหลังมือที่มีผิวบาง 


ไฮยาลูรอนในร่างกายเสื่อมลงได้อย่างไร ? 

เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายเราจะผลิตไฮยาลูรอนได้น้อยและช้าลง ปัญหาผิวต่าง ๆ ก็จะเห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น และหนึ่งในปัญหาผิวที่เป็นสัญญาณแห่งวัย คือ ริ้วรอย ทำให้ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ ดูแก่กว่าวัย สังเกตได้ง่าย ๆ ครับ

  • หน้าเหี่ยว ผิวไม่กระชับ 
  • ผิวหมองคล้ำ แห้งกร้าน 
  • ฝ้า กระ จุดด่างดำ 
  • คอเหี่ยวย่นเป็นเส้น ๆ 
  • รูขุมขนกว้าง แต่งหน้าไม่ติด
ผิวขาดไฮยาลูรอน

วิธีป้องกันไฮยาลูรอนในร่างกายเสื่อม ทำอย่างไร ? 

  • รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักใบเขียว มะเขือเทศ องุ่น เมล็ดอัลมอนด์ 
  • เลี่ยงของมัน ของทอด ของหวาน เพราะจะทำให้ผิวเสื่อมสภาพ ดูแก่กว่าวัย 
  • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว Skincare Routine ที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น และเหมาะกับสภาพผิว 
  • ทาครีมกันแดด ป้องกันรังสี UVA และ UVB ตัวการทำร้ายผิวแก่ เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำและริ้วรอย 
  • พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวได้มีเวลาซ่อมแซม ฟื้นฟูตัวเอง เสริมสร้างไฮยาลูรอนและคอลลาเจน
  • ใช้หัตถการและเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น ฉีดฟิลเลอร์, ทำ Hifu Ultraformer lll, Ulthera SPT และ Thermage FLX ช่วยลดริ้วรอยและชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้ 
ปรึกษาหมอป้องกันไฮยาลูรอนเสื่อม โดยหมอวา
ปรึกษาหมอ ประเมินปัญหา และสภาพผิว

ไฮยาลูรอนอันตรายไหม ? 

ไฮยาลูรอน มีความปลอดภัยครับ แต่ในบางรายอาจเกิดอาการแพ้หรือผลข้างเคียงได้ครับ หมอแยกเป็น 3 กรณี 

  • ไฮยาลูรอนแบบทา ควรเลือกที่มีความเข้มข้นของไฮยาลูรอนต่ำกว่า 2% เพราะอาจทำให้เกิดการแพ้ได้สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง  
  • ไฮยาลูรอนแบบฉีด หรือฟิลเลอร์ ก่อนฉีดต้องมั่นใจก่อนครับว่าเป็นไฮยาลูรอนของแท้ ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ของแท้ หมอแกะกล่องให้ดูต่อหน้าครับ 
  • ไฮยาลูรอนแบบรับประทาน เช่น อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอน เนื่องจากซื้อสะดวกทางช่องทางออนไลน์ แต่ก็ไม่ใช่ทุกยี่ห้อครับจะได้มาตรฐาน ก่อนซื้อต้องพิจารณาดี ๆ หรือขอคำแนะนำจากแพทย์และเภสัชกร   

ไฮยาลูรอนเหมาะกับใคร ? 

  • ผู้ที่มีผิวแห้งมาก ขาดความชุ่มชื้น
  • ผู้ที่มีริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย
  • ผู้ที่มีปัญหาร่องลึก เนื้อยุบลงจากอายุที่มากขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าเสริมคาง หน้าผาก ขมับ ด้วยฟิลเลอร์โดยไม่ต้องผ่าตัด
  • ผู้ที่อยากรักษาสภาพผิวให้คงความอ่อนวัย และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย

ไฮยาลูรอนไม่เหมาะกับใคร ? 

แม้ไฮยาลูรอน จะมีความปลอดภัยแต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถฉีดได้ โดยการฉีดฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับผู้ที่มีข้อจำกัด ดังนี้

  • ผู้ที่มีอาการแพ้ฟิลเลอร์ หรือแพ้สารไฮยาลูรอนิก แอซิดมาก่อน  
  • สตรีมีครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกแล้วหยุดยาก มีแผลฟกช้ำง่าย 
  • ผู้ที่กำลังรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน (ASA), ยาแก้อักเสบปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ (NSAIDS), ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด (Warfarin), วิตามินอี (Vitamin E), สารสกัดจากใบแปะก๊วย (Gingko biloba) เป็นต้น
  • ผู้ที่มีอาการโรคผิวหนัง เช่น เริม หรืองูสวัดอยู่ ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ 

ไฮยาลูรอนของแท้ของปลอมดูอย่างไร ? 

ไฮยาลูรอนของแท้ของปลอม ถ้าเป็นพวกเซรั่มไฮยา ครีมไฮยา วิธีดูจะขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อ ทางที่ดีควรซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ถ้าซื้อทางออนไลน์ก็ควรเลือกร้านที่เป็น Official ครับ   

ถ้าเป็นไฮยาลูรอนแบบฉีด หรือฟิลเลอร์ ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเป็นของปลอม จะหมายถึง

  • ฟิลเลอร์ที่นำเข้าผิดกฎหมาย ไม่ผ่านการรับรองจาก อย.  
  • ฟิลเลอร์ปลอม ซิลิโคนเหลว พาราฟิน ไบโอพลาสติก 
  • ฟิลเลอร์เสื่อมคุณภาพ ไม่มีการเก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม 
  • ฟิลเลอร์ราคาถูก พบได้ตามคลินิกเถื่อน ฉีดกับหมอกระเป๋า 
  • ฟิลเลอร์ที่มีฉลากไม่ชัดเจน มีร่องรอยการแกะกล่อง 

ก่อนฉีดต้องมั่นใจครับว่าเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์แท้ โดยวิธีดูของแท้แต่ละยี่ห้อ หมออธิบายไว้ในคลิปด้านล่างนี้ครับ 

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ ฟิลเลอร์ปลอมดูอย่างไร ?

ไฮยาลูรอนมีผลข้างเคียงไหม ? 

หากพูดถึงการฉีดสารเติมเต็มไฮยาลูรอนหรือฟิลเลอร์ ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบได้ว่าเป็นฟิลเลอร์แท้ และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เป็นวิธีที่มีความปลอดภัยครับ และอาจมีผลข้างเคียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น 

  • รอยเข็ม 
  • รอยแดง
  • อาการบวม 
  • อาการปวด 

อาการเหล่านี้ สามารถหายไปได้เองโดยไม่เป็นอันตราย ห้ามบีบ นวด แกะ เกา บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ 


ไฮยาลูรอนอยู่ได้นานไหม ? 

  • ไฮยาลูรอนในร่างกาย เป็นสารสำคัญที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองได้ในชั้นผิวหนังแท้ แต่ร่างกายเราจะผลิตสาร Hyaluronic Acid ได้น้อยและช้าลงเมื่ออายุมากขึ้น ยิ่งอายุมาก ก็จะยิ่งผลิตน้อยลงเรื่อย ๆ โดยค่าเฉลี่ยสำหรับคนทั่วไป ผิวของคนเราจะเริ่มเสื่อมตามวัยเมื่ออายุ 25 ปี 
  • ไฮยาลูรอนในรูปแบบฉีด หรือฟิลเลอร์ เป็นสารสังเคราะห์ที่สร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบไฮยาลูรอนที่ร่างกายสร้างขึ้นตามธรรมชาติ ใช้ทดแทนส่วนสำคัญของโครงสร้างผิว เช่น ไฮยาลูรอน คอลลาเจน และอิลาสติน ที่ร่างกายสูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น หลังฉีดฟิลเลอร์ ระยะเวลาอยู่ได้นานตั้งแต่ 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ รุ่นฟิลเลอร์ และการดูแลตัวเอง 

อ่านบทความเพิ่มเติม : ฉีดฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น อยู่ได้นานกี่เดือน ?  


ไฮยาลูรอนกินได้ไหม ?

ไฮยาลูรอนที่กินได้จะอยู่ในรูปแบบอาหารเสริม หรือที่เรียกว่า อาหารเสริม Hyaluronic Acid โดยส่วนมากจะอยู่ในรูปแบบเม็ด ความแตกต่างของแต่ละยี่ห้อจะอยู่ที่ความเข้มข้นต่อเม็ด มีงานวิจัยว่าการกิน Hyaluronic Acid แบบเม็ด 120-240 mg/วัน ระยะเวลา 1 เดือน จะช่วยเสริมในเรื่องของผิวพรรณ ทำให้ผิวชุ่มชื้น เนียนนุ่มขึ้น 

นอกจากนี้ยังใช้ในผู้ป่วยโรคข้อกระดูกอักเสบที่รับประทานอาหารเสริม Hyaluronic Acid วันละ 80-200 มิลลิกรัม เพื่อบรรเทาอาการปวดหัวเข่า ซึ่งในกรณีนี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น


สรุป

ไฮยาลูรอน มีอยู่ในร่างกาย สร้างขึ้นตามธรรมชาติ แต่จะค่อย ๆ ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น การป้องกันไม่ให้ไฮยาลูรอนเสื่อมในร่างกาย สามารถทำได้หลายวิธีครับ ตั้งแต่การดูแลตัวเอง ทั้งในเรื่องไลฟ์สไตล์การกิน การใช้ชีวิต การบำรุงผิว หรือถ้าสังเกตว่าผิวแก่ มีริ้วรอยร่องลึก ต้องการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ก็สามารถใช้หัตถการทางการแพทย์ เช่น การฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งมีไฮยาลูรอนเป็นส่วนประกอบหลัก เติมเต็มได้ครับ หรือถ้าหากผิวมีความหย่อนคล้อย ก็สามารถใช้เครื่องมือยกกระชับได้เช่นกัน


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ

Banner_Web_หมอให้คำปรึกษา_หมอ40คน